Text Size
Friday, April 26, 2024
Top Tab Content

เพื่อนสนิท (มิตรสหาย) ภาค๒ 
     

จะประพฤติตัวอย่างไรกับการมีบาปมิตร


            เมื่อได้รับความรู้ดังนี้แล้ว  ทุกท่านจะทำอย่างไรเมื่อพบกับบาปมิตรแล้ว  ก็ลองพิจารณาดูกันเอาเอง  ตอนนี้ทุกท่านมีทางเลือกที่จะทำสิ่งต่างๆได้อยู่แล้ว   

            ท่านลองจินตนาการดูว่า  ถ้าท่านในชาติใดชาติหนึ่งได้เกิดเป็นคนเลว จิตใจกำลังมืดบอดไปด้วยอกุศล  ถ้าตายชาตินั้นต้องไปรับกรรมอีกนับไม่ถ้วนจากผลของการกระทำ  ท่านอยากที่จะมีแสงสว่างมาคอยชี้นำทางหรือไม่  ท่านต้องการที่จะมีมิตรที่ดีสักคนมาพาท่านออกจากสิ่งที่เลวร้ายหรือไม่  บางทีถ้ามีคนให้โอกาสท่านสักนิด  ท่านอาจจะไม่ต้องไปถลำลึกกับบางสิ่งที่ดำมืด  และไปประสบกับสิ่งที่จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตก็เป็นไปได้
            ทุกท่านลองพิจารณาดูว่า  ถ้าแต่ละคนคิดแต่จะเอาตัวรอด  โดยไม่สนใจคนรอบข้าง  สังคมจะอยู่ได้อย่างไร  ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือร่วมใจกัน

            ในอดีตมีมาณพหนุ่มผู้หนึ่ง  เดินทางพร้อมกับมารดาออกทะเลไปกับเรือ   แต่เคราะห์ร้ายเจอพายุทำให้เรืออับปาง  มาณพหนุ่มผู้นั้นได้แบกมารดา  ว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรเพื่อให้ถึงฝั่ง  ในใจได้คิดถึงความทุกข์ยากทั้งของตนเองและผู้อื่น  ก่อนที่มาณพผู้นั้นจะหมดแรงจมน้ำตายพร้อมกับมารดาที่ได้แบกอยู่ในขณะนั้น  มาณพผู้นั้นเห็นถึงความทุกข์  และจึงมีจิตคิดว่า “ถ้าเราพ้นทุกข์  เราจะพาผู้อื่นพ้นทุกข์ไปด้วย”  เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วทำให้มาณพผู้นั้นกลับมีแรงที่จะว่ายน้ำต่อขึ้นมาอีกครั้ง  จึงว่ายน้ำพาตนเองและมารดารอดชีวิตมาจนถึงฝั่งได้ในที่สุด  จากเหตุการณ์เล็กๆครั้งนั้นในอดีตที่ดูเหมือนไม่มีอะไรมาก  เป็นแค่จุดเล็กๆของเหตุการณ์หนึ่งในอดีต  แค่คนๆหนึ่งช่วยแม่และตนเองรอดตายจากภัยทางทะเล  แต่ในความเป็นจริงในเหตุการณ์ครั้งนั้นกลับได้ก่อให้เกิดเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลก  ทำให้เรามีมหาบุรุษผู้ขนสัตว์ออกจากทะเลแห่งทุกข์  มาณพหนุ่มผู้แบกมารดาข้ามมหาสมุทรได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมในปัจจุบันนี้  พระองค์ผู้เป็นดั่งแสงสว่างส่องโลกให้โชติช่วง  นำพาผู้คนออกจากความมืดมิด พาผู้คนข้ามฝั่งออกจากทะเลแห่งทุกข์ทั้งปวงไปสู่แดนนิพพานได้อย่างมากมาย

            ถ้าโจรเคราแดงไม่ได้พบกัลยาณมิตรดั่งเช่นพระสารีบุตร  อนาคตของโจรเคราแดงก็ยิ่งน่าเป็นห่วง  เพราะโจรเคราแดงสร้างอกุศลกรรมมาอย่างมากมาย  สิ่งที่โจรเคราแดงต้องไปเผชิญในอนาคตนั้นอาจจะสุดแสนทารุณเกินกว่าท่านจะคาดคิดได้  ส่วนทุกท่านที่พบกับบาปมิตร  ท่านจะปล่อยมิตรเหล่านั้นให้จมอยู่กับความดำมืดโดยไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือ

            ในทางกลับกัน  ถ้าท่านได้ไปรู้จักคบค้าสมาคมกับมิตรคนหนึ่ง  มีวันหนึ่งมิตรดังกล่าวชักชวนท่านให้นั่งรถไปเป็นเพื่อนเพื่อทำธุระ  แต่แท้จริงเขากำลังนำยาบ้าไปส่ง  ซึ่งขณะนั้นได้มีตำรวจล้อมจับพอดีท่านก็พลอยติดร่างแหไปด้วย  อีกทั้งเพื่อนคนนั้นก็ยังป้ายความผิดมาที่ท่านอีก  ชีวิตทั้งชีวิต ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล  ฉิบหายพังทลาย  ทั้งพ่อแม่พี่น้องที่ต้องมาเดือดร้อนกับเรื่องนี้ก็พลอยประสบกับความทุกข์ไปพร้อมกับท่านไปด้วย

            ท่านก็ได้เห็นประเภทของมิตรต่างๆแล้ว  สังคมปัจจุบันนี้คนที่ต่อหน้าทำเป็นคนดีแต่แท้ที่จริงจิตใจชั่วร้าย ก็มีอยู่มากมายในสังคม อีกทั้งพวกหลอกลวงต้มตุ๋นก็มีอยู่เต็มไปหมด

            ในความคิดผู้เขียนนั้น  การประพฤติตัวได้อย่างดีเหมาะสมกับเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องที่ยาก   ต้องยอมรับว่าการดำเนินชีวิตอยู่ในวัฏสงสารเป็นเรื่องยาก  จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทุกชนิดมาช่วยในระหว่างเดินทางในวัฏสงสาร เพื่อทำให้เกิดสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดทั้งส่วนของตัวเองและผู้อื่น ในส่วนนี้อาจจะไม่มีคำตอบตายตัวชัดเจน   แต่ในทุกๆการกระทำย่อมมีผลของมัน

สร้างเหตุในปัจจุบันเพื่อที่จะได้พบกัลยาณมิตรที่ยิ่งใหญ่ต่อไป

            ในชีวิตประจำวันของท่านผู้อ่านแต่ละคน  ส่วนมากจะได้พบกับมิตรประเภทไหน  ถ้าส่วนมากแต่ละท่านพบกับมิตรเทียมเป็นส่วนมาก  ก็พึงรู้ว่านั่นเป็นผลที่เกิดจากเหตุในอดีตที่แต่ละคนสร้างและสะสมทำกันมาจึงมาส่งผลในปัจจุบันนี้  ดังนั้นเราควรจะเริ่มต้นชีวิตใหม่  เริ่มสร้างเหตุดีในปัจจุบันเพื่อสร้างอนาคตอันสดใส  และเปิดโอกาสให้กรรมดีทำงาน  การเริ่มต้นก็ควรเริ่มทำจากจิตเสียก่อน  และต่อมาก็เริ่มทำตัวในปัจจุบัน  ทำตัวเองให้เป็นมิตรที่ดีกับผู้อื่น  ถ้าท่านเป็นกัลยาณมิตรกับผู้อื่นมาตลอด  แน่นอนว่าโอกาสที่ท่านจะพบกับกัลยาณมิตรต่อไปก็เปิดกว้างมากยิ่งๆขึ้นไป

            สำหรับท่านที่น้อยใจว่า  เราเกิดมาทำไมพบแต่เพื่อนที่แย่ๆ  ซึ่งผู้เขียนก็ขอให้ท่านเหล่านั้นใจเย็นๆไว้ก่อน  กลับมาตรวจสอบตัวเองให้ดีเสียก่อนว่า มีอะไรบางอย่างที่เรามองข้ามไปหรือไม่  ผู้เขียนมั่นใจว่าแต่ละคนไม่ใช่ไม่มีกัลยาณมิตร  เพียงแต่ว่าแต่ละคนอาจจะได้ละเลยกัลยาณมิตรบางท่าน  ซึ่งกรรมอันนี้อาจจะส่งผลให้แต่ละท่านพบมิตรแต่ละคนที่แย่ๆ  เนื่องเพราะท่านได้ละเลยกัลยาณมิตรที่สำคัญที่สุดไป  เมื่อคนใดได้พบคนที่มีคุณค่าแล้วแต่กลับมองไม่เห็น  ด้วยกรรมอันนั้นย่อมจะส่งผลให้บุคคลที่แต่ละคนจะไปพบย่อมมีคุณต่ำกว่าบุคคลคนนั้น  ที่ผู้เขียนกล้าเขียนอย่างนี้ก็เพราะว่าแต่ละคนยังมีกัลยาณมิตรผู้ประเสริฐที่สุดนั่นคือ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่  เพียงแต่ว่าแต่ละคนจะให้ความสำคัญมากหรือน้อยเพียงไหน

            ผู้เขียนไม่ได้หมายความในเชิงปรัชญาเท่านั้น  แต่หมายความว่าท่านยังมีกัลยาณมิตรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจริงๆ  ถ้าผู้อ่านบางท่านคิดว่าท่านไม่มีพระชนม์ชีพอยู่แล้วย่อมเป็นกัลยาณมิตรเราไม่ได้  ซึ่งในส่วนนี้ไม่เป็นความจริง  เนื่องเพราะพระองค์ท่านได้ให้พระธรรมนั้นเป็นตัวแทนของพระองค์ท่าน เป็นตัวแทนที่จะคอยแนะนำทุกๆคนไปสู่ทางที่ดี 
 
            ดังนั้นท่านผู้อ่านที่มีแต่มิตรแย่ๆนั้นก็ลองไปตั้งจิต  กลับไปหาพระองค์ท่านใหม่  ศึกษาสิ่งที่ท่านสั่งสอนอย่างจริงจัง  แล้วไปขอขมากรรมต่อพระองค์ว่า  กรรมอันใดที่ได้ล่วงเกินพระองค์  เนื่องจากได้มองข้ามพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้ากราบขอขมากรรม   และด้วยการที่ข้าพระพุทธเจ้าหันกลับมาเห็นถึงความสำคัญของพระองค์และได้มาศึกษาพระธรรมนั้น  ขอให้ส่งผลให้ข้าพระพุทธเจ้าได้พบกัลยาณมิตรดังเช่นพระองค์ด้วยเทอญ    
       
จะประพฤติตัวอย่างไรเมื่อพบกับกัลยาณมิตร

            ส่วนว่าเราจะประพฤติตัวอย่างไรเมื่อทุกท่านได้มีโอกาสพบกัลยาณมิตรนั้น  ในความคิดของผู้เขียนนั้น  ก่อนอื่นก็ไม่ต้องคิดอะไรที่มันยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากนัก  อันดับแรกสิ่งที่ทุกคนควรทำคือไม่ไปทำร้ายกัลยาณมิตรผู้นั้น  จากประสบการณ์ที่ได้เห็นมา  ผู้คนส่วนมากเมื่อได้พบมิตรที่ดีแล้ว  ก็จะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับมิตรผู้นั้นเป็นส่วนมาก  ไปเอาเปรียบมิตรผู้นั้นบ้าง  เห็นว่าเป็นกันเองก็จะไปล่วงเกินบ้าง  ไม่ว่าจะเป็นด้วย  กาย  วาจา  ใจ  ซึ่งทำให้ตัวของผู้กระทำเองก็ต้องมารับกรรมในส่วนนี้เองในอนาคต  ยิ่งกัลยาณมิตรนั้นเป็นผู้มีธรรมเท่าไหร่  คนที่ไปล่วงเกินก็จะยิ่งมีความเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น

            เมื่อหยุดล่วงเกินแล้ว  ต่อไปก็หาสิ่งที่ดีของกัลยาณมิตรนั้นน้อมมาสู่ตน เพื่อให้ได้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเองที่อุตส่าห์ได้มาพบกัลยาณมิตรผู้นั้นแล้ว  พยามยามฝึกฝนตนเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ทำตัวเองให้เป็นภาชนะที่ดีและใหญ่  สามารถรองรับสิ่งที่กัลยาณมิตรให้ได้โดยไม่จำกัด เมื่อแต่ละท่านฝึกตนเองเป็นภาชนะที่ดีได้แล้ว  ถ้าโอกาสแต่ละท่านมาถึงได้พบกัลยาณมิตรอันประเสริฐสุดดังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระองค์จะให้ประโยชน์ที่สูงที่สุดที่สัตว์เหล่านั้นพึงจะรับได้อยู่แล้ว  ปัญหาคือว่าสัตว์ที่มีโอกาสพบพุทธองค์นั้นจะมีปัญญารับในสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ได้เท่าไหร่  ยิ่งถ้าไม่ได้เป็นผู้ฝึกมาแล้วก็ไม่ต้องพูด  ทางผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างของนายฆฏิการะ

นายฆฏิการะ (อ้างอิง ๖)  

            นายฆฏิการะที่จะกล่าวถึงต่อไปก็คือผู้ที่ได้เป็นกัลยาณมิตรชักชวนโชติปาลมาณพไปพบพระผู้มีพระภาคเจ้าดังที่ได้กล่าวไว้ในบทความข้างบน 

            เมื่อโชติปาละได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว  ก็บังเกิดความศรัทธาไปแจ้งแก่นายฆฏิการะว่าตนจะออกบวชในศาสานาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า  แล้วถามถึงนายฆฏิการะว่าจะเอายังไงกับชีวิต   นายฆฏิการะก็ตอบว่า   “เพื่อนก็รู้แล้วนี่ว่า  เรามีมารดาบิดาผู้ชราตาบอดที่ต้องเลี้ยงดู  ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่จะออกบวช”  นายฆฏิการะจึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับสหายโชติปาลและอนุโมทนากับการบวชของสหาย  ส่วนตนก็ใช้ชีวิตฆราวาสเลี้ยงดูบิดามารดาตาบอดต่อไป

            ครั้งหนึ่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปประทับอยู่ ณ ป่าแห่งหนึ่ง  พระเจ้าแผ่นดินพระนามว่ากิกิได้รู้ข่าวจึงเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า  เมื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีภาคเจ้าและได้ฟังธรรมจากพระองค์  จึงนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อถวายอาหารในวันรุ่งขึ้นซึ่งพระองค์ก็ทรงรับนิมนต์  เมื่อถึงเวลาพระองค์กับเหล่าภิกษุได้เสด็จไปยังราชนิเวศของพระเจ้ากิกิ  พระเจ้ากิกิได้ถวายอาหารด้วยมือพระองค์เอง  จนเสร็จสิ้นการฉันอาหาร  พระเจ้ากิกิได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าให้จำพรรษาอยู่ที่เมืองของพระองค์  แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า “อย่าเลย  มหาบพิตร  อาตมภาพรับการอยู่จำพรรษาที่อื่นเสียแล้ว”  พระเจ้ากิกิจึงสงสัยว่า  “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญมีใครอื่นที่เป็นอุปัฏฐากยิ่งกว่าหม่อมฉันหรือ”

            พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “มีอยู่  มหาบพิตร  นิคมชื่อเวภฬิคะ  ช่างหม้อชื่อฆฏิการะ  อยู่ในนิคมนั้น  เขาเป็นอุปัฏฐากของอาตมภาพ  นับเป็นอุปัฏฐากชั้นเลิศ”  และพระองค์ตรัสสรรเสริญนายฆฏิการะว่า  ช่างหม้อฆฏิการะนั้น    
            เป็นผู้ถึง  พระพุทธเจ้า  พระธรรม  พระสงฆ์  เป็นสรณะ 
            เป็นผู้มีศีล ๕
            เป็นผู้เลื่อมใส  อันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า  ในพระธรรม  ในพระสงฆ์  ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะเจ้าใคร่  
            เป็นผู้หมดสงสัยในทุกข์   ในทุกขสมุทัย   ในทุกขนิโรธ   ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา   
            เป็นผู้บริโภคอาหารมื้อเดียว  ประพฤติพรหมจรรย์  มีศีล  กัลยาณธรรม     
            เป็นผู้ปล่อยวางแก้วมณีและทองคำ  ปราศจากการใช้ทองและเงิน
            เป็นผู้ไม่ขุดแผ่นดินด้วยเครื่องมือและด้วยมือของตน  แต่จะนำมาเฉพาะแต่ดินตลิ่งพังหรือขุยหนู  แล้วค่อยทำดินนั้นเป็นภาชนะ 
            เป็นผู้ให้ภาชนะที่ทำด้วยดินแก่ผู้ใดก็ตามที่ต้องการ  ส่วนผู้ใดนำภาชนะไปแล้ว  จะตอบแทนการทำภาชนะดินของนายฆฏิการะ  ด้วยข้าวสาร ถั่วเขียว  ถั่วดำ  ก็ให้วางสิ่งที่จะตอบแทนนายฆฏิการะไว้  แล้วนำภาชนะนั้นไป
            เป็นผู้เลี้ยงมารดาบิดา  ผู้ชรา  ตาบอด  
            เป็นผู้ที่เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว  จะไปเกิดเป็น  โอปปาติกะ (อุปปาติกะ)  และจะปรินิพพานในภพนั้น  
 
            พระองค์ตรัสเล่าต่อไปว่า  ครั้งหนึ่งนั้นพระองค์ประทับอยู่ที่  นิคมชื่อเวภฬิคะ  เมื่อเวลาเช้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปที่บ้านของนายฆฏิการะ แล้วถามถึงนายฆฏิการะว่าไปไหน  มารดาบิดาของนายฆฏิการะตอบพระองค์ว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญอุปัฏฐากของพระองค์ออกไปเสียแล้ว   ขอพระองค์จงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าวนี้  เอาแกงจากหม้อแกงนี้เสวยเถิด  พระองค์จึงได้นำข้าวสุกจากหม้อข้าว  นำแกงจากหม้อแกงมาฉัน  เมื่อพระองค์ฉันเสร็จแล้วก็เสด็จจากไป  ต่อมาเมื่อนายฆฏิการะกลับมา  จึงได้ถามมารดาบิดาว่า ใครมาเอาข้าวสุกและแกงมาบริโภคแล้วจากไป  มารดาบิดาบอกว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนเอาข้าวและแกงมาเสวยแล้วเสด็จจากไป  เมื่อนายฆฏิการะได้ฟังดังนั้น  คิดว่าพระองค์ทรงได้ให้ความคุ้นเคยแก่เราขนาดนี้  นับว่าเป็นบุญของเราอย่างหาที่เปรียบมิได้  จากเหตุการณ์ครั้งนั้น  บิดามารดาผู้ชราตาบอด  ได้บังเกิดปิติและสุขตลอดเจ็ดวัน  ส่วนนายฆฏิการะได้บังเกิดปิติและสุขตลอดครึ่งเดือน
 
            อีกครั้งหนึ่งที่พระองค์ประทับอยู่ที่  นิคมชื่อเวภฬิคะ  เมื่อเวลาเช้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปที่บ้านของนายฆฏิการะ  แล้วถามถึงนายฆฏิการะว่าไปไหน  มารดาบิดาของนายฆฏิการะตอบพระองค์ว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญอุปัฏฐากของพระองค์ออกไปเสียแล้ว   ขอพระองค์โปรดเอาขนมสดจากกระเช้านี้  เอาแกงจากหม้อแกงเสวยเถิด  พระองค์จึงได้นำขนมสดจากกระเช้า  เอาแกงจากหม้อแกงมาฉัน เมื่อพระองค์ฉันเสร็จแล้วก็เสด็จจากไป   ต่อมาเมื่อนายฆฏิการะกลับมา จึงได้ถามมารดาบิดาว่า  ใครมาเอาขนมสดและแกงมาบริโภคแล้วจากไป  มารดาบิดาบอกว่า  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนเอาขนมสดและแกงมาเสวยแล้วเสด็จจากไป  เมื่อนายฆฏิการะได้ฟังดังนั้น  คิดว่าพระองค์ทรงได้ให้ความคุ้นเคยแก่เราขนาดนี้  นับว่าเป็นบุญของเราอย่างหาที่เปรียบมิได้  จากเหตุการณ์ครั้งนั้น  บิดามารดาผู้ชราตาบอด  ได้บังเกิดปิติและสุขตลอดเจ็ดวัน  ส่วนนายฆฏิการะได้บังเกิดปิติและสุขตลอดครึ่งเดือน

             และอีกครั้งหนึ่งที่พระองค์ประทับอยู่ที่  นิคมชื่อเวภฬิคะ  ซึ่งตอนนั้น กุฏิของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีรูรั่ว  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่งแก่เหล่าภิกษุว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงพากันไปดูหญ้าที่บ้านของนายฆฏิการะช่างหม้อ  เหล่าภิกษุตอบพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า  ข้าแต่พระองค์  หญ้าที่บ้านของนายฆฏิการะช่างหม้อไม่มี  มีแต่หญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่นายฆฏิการะอยู่เท่านั้น  เมื่อได้ฟังดังนั้นพระผู้มีภาคเจ้าสั่งให้ภิกษุเหล่านั้น ไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาบ้านของนายฆฏิการะ  ลำดับนั้น  เหล่าภิกษุทั้งหลายจึงพากันไปรื้อหลังคาบ้านนายฆฏิการะ  ขณะที่ทำการรื้ออยู่นั้น  มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อได้ถามว่า  ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาบ้านของเรา  ภิกษุทั้งหลายตอบว่า  กุฎีของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้ารั่ว  จึงได้มารื้อหลังคานี้  มารดาบิดาของฆฏิการะจึงกล่าวว่า  “เอาไปเถิดเจ้าข้า เอาไปตามสะดวกเถิด ท่านผู้เจริญ”   ต่อมาเมื่อนายฆฏิการะกลับมาถึงบ้านเห็นสภาพบ้านตนเองเป็นอย่างนั้น  จึงถามแก่มารดาบิดาว่า  ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเสียเล่า  มารดาบิดาจึงบอกว่า  “เหล่าภิกษุทั้งหลายเป็นคนรื้อและท่านทั้งหลายบอกแก่เราว่า กุฎีของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้ารั่ว”  เมื่อนายฆฏิการะได้ฟังดังนั้น  คิดว่าพระองค์ทรงได้ให้ความคุ้นเคยแก่เราขนาดนี้  นับว่าเป็นบุญของเราอย่างหาที่เปรียบมิได้  จากเหตุการณ์ครั้งนั้น  บิดามารดาผู้ชราตาบอด  ได้บังเกิดปิติและสุขตลอดเจ็ดวัน  ส่วนนายฆฏิการะได้บังเกิดปิติและสุขตลอดครึ่งเดือน  หลังจากนั้นบ้านที่ฆฏิการะกับมารดาบิดาผู้ชราตาบอดอาศัยอยู่นั้นจึงเปิดโล่ง ไม่มีหลังคาคลุมอยู่ตลอดสามเดือน  แต่ว่าฝนถึงแม้ตกก็ไม่รั่วลงมา

            เมื่อพระเจ้ากิกิ  ได้ฟังถึงคุณของนายฆฏิการะแล้ว  ก็ทรงคิดว่าเป็นลาภของช่างหม้อแล้ว  ช่างหม้อผู้นั้นเป็นผู้ได้ดีแล้ว  ที่พระองค์ทรงให้ความคุ้นเคยถึงเพียงนี้แก่เขา  พระเจ้ากิกิเมื่อได้รับรู้คุณของฆฏิการะแล้วจึงอยู่เฉยไม่ได้  ทำการส่งเกวียนบรรทุกข้าวสาร  ห้าร้อยเล่มเกวียน  และเครื่องแกงที่พอเหมาะกับข้าวสารนั้น  พระราชทานแก่ช่างหม้อฆฏิการะนั้น  ช่างหม้อเมื่อเห็นของที่ส่งมาแล้ว  ก็ไม่ได้รับไว้  แล้วกล่าวว่าพระราชามีพระราชกรณียกิจมาก ของที่พระราชทานมานี้  อย่าเป็นของข้าพเจ้าเลย  จงเป็นของหลวงเถิด

            จากเรื่องราวของนายฆฏิการะที่ผู้อ่านได้รับทราบแล้ว  เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ให้แง่คิดมากมายแก่พวกเราทั้งหลาย  สมมติว่าท่านมีโอกาสได้พบกัลยาณมิตรอันประเสริฐสูงสุด  ดังเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น  พระองค์ย่อมให้ประโยชน์สูงสุดแก่สัตว์ทั้งหลายเท่าที่สามารถจะรับได้อยู่แล้ว  ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าแต่ละคนที่มีโอกาสไปพบกับพระองค์นั้น  จะสามารถรับในสิ่งที่พระองค์ให้ได้แค่ไหน  แต่ละคนเป็นภาชนะแบบไหน  สามารถรับได้แค่ไหน  ทุกคนมีคุณประมาณไหน  สามารถรับในสิ่งที่พระองค์จะให้ได้แค่ไหน  ท่านจะสามารถรับได้หรือไม่เมื่อพระองค์สั่งให้คนมารื้อหลังคาบ้านท่าน  ท่านจะทำใจให้เกิดปิติได้ตลอดครึ่งเดือนได้หรือไม่  ถ้าท่านทำไม่ได้แล้วท่านทำได้แค่ไหน  ท่านทำได้แค่ไหนท่านก็จะได้เพียงสิ่งนั้น  เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนควรนำมาคิดพิจารณา  เมื่อพิจารณาแล้วก็ควรฝึกฝนตนเองให้ดี  เพราะเมื่อคราใดได้มีโอกาสพบกัลยาณมิตรต่างๆ  ก็จะไม่เสียประโยชน์  พลาดโอกาสอันน่าเสียดายที่สุด





มีผู้อ่านจำนวน : 2532 ครั้ง


บทความที่เกี่ยวข้อง

           เพื่อนสนิท (มิตรสหาย) ๑
           เพื่อนสนิท (มิตรสหาย) ๒
           เพื่อนสนิท (มิตรสหาย) ๓
backbutton
gototop
back2home_style3 go2contentstore_style03
Bottom Tab Content

Who's Online

We have 2 guests and no members online