Text Size
Wednesday, April 24, 2024
Top Tab Content

ไม่บัญญัติ ไม่เพิกถอน



ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่ถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติแล้ว

            ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า (อ้างอิง ๑)

  “ ดูก่อนอานนท์  เมื่อเราล่วงไป  สงฆ์หวังอยู่จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้ ” 


             เมื่อดูจากประโยคที่พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ นั่นหมายความว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พุทธานุญาตแก่สงฆ์ในการเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้

            ต่อมาพระอานนท์ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวต่อคณะสงฆ์เถระ  พระเถระทั้งหลายถามพระอานนท์ว่า
           
“ ท่านพระอานนท์  ท่านทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าหรือเปล่าว่า
               สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย ”
            ซึ่งในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระอานนท์นั้น  ท่านพระอานนท์ก็มิได้ทูลถามในรายละเอียด ดังนั้นพระอานนท์จึงตอบพระเถระทั้งหลายว่า
            “ ข้าพเจ้าไม่ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย ”

            เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น จึงเกิดปัญหาขึ้นมาว่า  “ อะไรเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ”
            พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า       เว้นปาราชิก  ๔  นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
            พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า       เว้นปาราชิก  ๔  เว้นสังฆาทิเสส  ๑๓ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
            พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า       เว้นปาราชิก ๔  เว้นสังฆาทิเสส ๑๓  เว้นอนิยต ๒ นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
            พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า       เว้นปาราชิก ๔  เว้นสังฆาทิเสส ๑๓  เว้นอนิยต ๒  เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ นอกนั้น เป็นสิกขาบทเล็กน้อย
            พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า       เว้นปาราชิก ๔  เว้นสังฆาทิเสส ๑๓  เว้นอนิยต ๒  เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐  เว้นปาจิตตีย์ ๙๒   นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
            พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า       เว้นปาราชิก ๔  เว้นสังฆาทิเสส ๑๓  เว้นอนิยต ๒  เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐  เว้นปาจิตตีย์ ๙๒  เว้นปาฏิเทสนียะ ๔  นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย

            เมื่อมาถึงตรงนี้ขอย้อนกลับมาถามท่านผู้อ่านสักเล็กน้อยว่า  ส่วนตัวท่านผู้อ่านเองคิดว่า “ อะไรคือสิกขาบทเล็กน้อย ” ซึ่งผู้เขียนจะให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ดังนี้ 
            ภิกษุผู้ทำการละเมิดสิกขาบท จะเรียกว่า อาบัติ
            อาบัติทั้งหมดนั้นมี ๗ ประการ โดยเรียงลำดับตามโทษหนัก ไปหาเบาดังนี้
                     ๑. ปาราชิก              ๒. สังฆาทิเสส       ๓. ถุลลัจจัย            ๔. ปาจิตตีย์
                     ๕. ปาฏิเทสนียะ      ๖. ทุกกฏ               ๗. ทุพภาสิต

            ท่านคิดว่า ๗ ข้อนี้ ส่วนไหนคืออาบัติเล็กน้อย  แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการมาสำรวจความคิดเห็น หรือทำโพล  แต่เป็นเรื่องที่สำคัญมากเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของพระศาสนา เพราะจะต้องถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว  ถ้าตัดสินใจผิดพลาดผลที่ตามมาก็สุดจะคณานับ 

            เนื่องจากไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าอะไรเป็นสิกขาบทเล็กน้อยดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พุทธานุญาตว่าสงฆ์สามารถเพิกถอนได้
            ท่านพระมหากัสสปจึงเสนอญัตติเข้าสู่ที่ประชุมสงฆ์โดยประกาศต่อที่ประชุมว่า
            แม้แต่คฤหัสถ์ก็รู้ว่าสิกขาบทของภิกษุเป็นอย่างไร  สิ่งนี้ควรแก่พระ สิ่งนี้ไม่ควรแก่พระ  ถ้าพวกเราจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสีย  จะมีผู้กล่าวว่า  พระศาสดาของพระภิกษุเหล่านี้อยู่ตราบใด สาวกเหล่านี้ยังศึกษาในสิกขาบทตราบนั้น  เพราะเหตุที่พระศาสดาของพระเหล่านี้ปรินิพพานแล้ว พระเหล่านี้จึงไม่ศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย 
            ดังนั้น  สงฆ์ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ  ไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว  พึงสมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้ว
            เมื่อคณะสงฆ์ได้ฟังสิ่งที่พระกัสสปเถระเสนอ   คณะสงฆ์ก็ได้เห็นชอบในสิ่งที่พระกัสสปเถระเสนอ

            ดังนั้นมตินี้จึงเป็นมติของสงฆ์ในคราวนั้น อีกทั้งยังเป็นหลักที่ยึดถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ดังนี้ว่า
            “ สงฆ์ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ  ไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว  พึงสมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้ว ”

            จากมติของพระเถระในสมัยนั้น   เมื่อลองมาวิเคราะห์เหตุการณ์ดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง  โดยดูจากการประชุมของพระเถระในยุคนั้นแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ว่าพระเถระจะไม่ต้องการทำตามพุทธพจน์ในการให้พุทธานุญาต  เพียงแต่พระเถระไม่สามารถระบุได้ว่าสิ่งที่พระองค์กล่าวนั้นหมายถึงอะไร  อีกทั้งเมื่อพิจารณาประโยคดังกล่าวดีๆ อีกครั้งหนึ่ง 
                        “ ดูก่อนอานนท์  เมื่อเราล่วงไป  สงฆ์หวังอยู่จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียก็ได้ ” 
            พุทธพจน์ในส่วนนี้ เป็นประโยคที่ให้พุทธานุญาตว่าสามารถทำได้  ซึ่งพระองค์ไม่ได้ตรัสในเชิงรับสั่งว่าต้องทำ แต่เป็นในเชิงทางเลือกเสียมากกว่า  ดังนั้นสงฆ์จะถอนสิกขาบทเล็กน้อยหรือไม่ถอนก็ได้

            ทุกท่านลองพิจารณาให้ดีเถิดว่า แม้แต่พระกัสสปและพระเถระหลายท่าน โดยที่แต่ละท่านนั้นมีคุณอันยิ่งใหญ่มากมายอยู่ร่วมเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วย  ซึ่งพระกัสสปและพระเถระทั้งหลายในครั้งนั้น ยังไม่มีใครออกมาระบุว่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงสิกขาบทเล็กน้อยนั้นหมายถึงอะไร  การที่เพิกถอนสิ่งที่พระองค์บัญญัตินั้นเป็นเรื่องใหญ่หลวงมาก แม้แต่พระกัสสปเถระรวมทั้งพระเถระในยุคนั้นยังไม่คิดว่าจะทำการอะไรกับสิกขาบทแม้แต่น้อย  แสดงว่าเรื่องที่พระองค์บัญญัติในแต่ละส่วนล้วนแต่มีความสำคัญอย่างที่ทุกคนคาดไม่ถึง   อีกทั้งยังแสดงถึงความเคารพยำเกรงต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของพระเถระในยุคนั้น 

“ ไม่พึงบัญญัติในสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงบัญญัติ  
ไม่พึงถอนพระบัญญัติที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว ”

              ในความคิดของผู้เขียน ประโยคนี้เป็นประโยคที่มีความหมายยิ่งนัก  โดยที่ประโยคดังกล่าวนี้สอดคล้องกับหลัก อปริหานิยธรรม ๗ (อ้างอิง ๒)  ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงหลักธรรมนี้แก่พระภิกษุ ซึ่งในที่นี้ผู้เขียนจะขอกล่าวเฉพาะข้อ ๓ ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้

พุทธพจน์ 
[๑๔๑]  ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า

“  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ ประการแก่เธอทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงฟัง จงทำไว้ในใจให้ดี ตถาคตจักกล่าวดังนี้  ”

    “ (ข้อ ๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   ภิกษุทั้งหลายจักไม่บัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้  จักไม่เพิกถอนสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว ยังจักสมาทานประพฤติอยู่ในสิกขาบททั้งหลายตามที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้วตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว  หาความเสื่อมมิได้   ”  
  


            ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพุทธานุญาตให้สงฆ์สามารถเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้  แต่เมื่อไม่สามารถมีความชัดเจนในประเด็นนี้  เนื่องจากหลังจากพระองค์ปรินิพพานจึงไม่มีใครเป็นผู้ชี้ขาดได้ว่าอาบัติเล็กน้อยคืออะไร  และถ้ามีการเพิกถอนโดยไม่มีความชัดเจน ก็จะทำให้เกิดความเสื่อมเสียขึ้นได้  สงฆ์ในขณะนั้นก็ได้กลับมายึดหลักอปริหานิยธรรม ๗ ซึ่งเป็นหลักที่พึงหวังความเจริญอย่างเดียว  อีกทั้งยังเป็นการแสดงถึงความยำเกรงต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
            แม้แต่ในอดีตสมัยที่พระผู้พระภาคเจ้าได้ทรงพระชนม์ชีพอยู่ ก็เคยมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
        
เรื่องพระอุปเสนวังคันตบุตร (อ้างอิง ๓)

           โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่  ณ พระเชตวันมหาวิหาร ซึ่งเป็นอารามที่อนาถบิณฑิกคหบดีถวายแด่สงฆ์  อยู่ในเขตพระนครสาวัตถี  ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า
           “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เราปรารถนาจะหลีกออกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส 
             ใครๆ อย่าเข้าไปหาเรา  นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาต เข้าไปรูปเดียว ”
           ภิกษุเหล่านั้นรับพระพุทธาณัติแล้ว ไม่มีใครไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระวิหารนี้เลย  นอกจากภิกษุผู้ทำหน้าที่นำบิณฑบาตเข้าไปถวายเพียงรูปเดียว  ถึงแม้กระนั้นสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีก็ยังตั้งกติกากันไว้ว่า
          “ อาวุโสทั้งหลาย  พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะเสด็จหลีกออกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส ใครๆ ไม่พึงเข้าไปเฝ้าพระองค์ นอกจากภิกษุผู้ทำหน้าที่นำบิณฑบาตเข้าไปถวายเพียงรูปเดียว  ภิกษุรูปใดเข้าไปเฝ้าพระองค์ ต้องให้แสดงอาบัติปาจิตตีย์ ”

          ต่อมา ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกับภิกษุบริษัทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับพระเชตวันมหาวิหาร  ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว

                                                      พระพุทธประเพณี
            พุทธประเพณีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น เมื่อมีพระอาคันตุกะทั้งหลายมาเข้าเฝ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย จะทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลายเหล่านี้   
            ขณะนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรว่า 
            “ ดูก่อนอุปเสน พวกเธอพอทนได้ พอให้อัตภาพเป็นไปได้หรือ พวกเธอเดินทางมาโดยได้รับความลำบากน้อยหรือ ”
            ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกราบทูลว่า 
            “ พอทนได้ พอให้อัตภาพเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า  อนึ่ง พวกข้าพระพุทธเจ้าเดินทางมาโดยได้รับความลำบากเล็กน้อย  พระพุทธเจ้าข้า ”
            ขณะนั้นภิกษุผู้เป็นสัทธิวิหาริกของท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรนั่งอยู่ไม่ห่างพระผู้มีพระภาคเจ้า (สัทธิวิหาริก คือ คำที่ใช้เรียกผู้ได้รับอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์  พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเป็นลัทธิวิหาริกของใคร แสดงว่าได้รับการอุปสมบทจากคนๆนั้น)     
            พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุรูปนั้นว่า
            “ ดูก่อนภิกษุ ผ้าบังสุกุลเป็นที่พอใจของเธอหรือ ”
            ภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า  “ ผ้าบังสุกุล มิได้เป็นที่พอใจของข้าพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าข้า ”                                                    
            พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุรูปนั้นต่อไปว่า 
            “ ก็ทำไมเธอจึงได้ทรงผ้าบังสุกุลเล่า ภิกษุ ”
            ภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า “ พระอุปัชฌาย์ของข้าพระพุทธเจ้าทรงผ้าบังสุกุล ข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องทรงผ้าบังสุกุลอย่างนั้นบ้าง  พระพุทธเจ้าข้า ”
            ลำดับนั้นแล   พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรว่า  
            “ ดูก่อนอุปเสน บริษัทของเธอนี้น่าเลื่อมใสนัก เธอแนะนำบริษัทอย่างไร ”

            ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกราบทูลว่า  
            “  พระพุทธเจ้าข้า ผู้ใดขออุปสมบทต่อข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าบอกกะเขาอย่างนี้ว่า
           อาวุโส ฉันเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
           ถ้าท่านจักถืออยู่ป่าเป็นวัตร  ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตรบ้าง    
           ฉันก็จักให้ท่านอุปสมบทตามประสงค์  ถ้าเขารับคำของข้าพระพุทธเจ้า ๆ 
           จึงให้เขาอุปสมบท ถ้าเขาไม่รับคำของข้าพระพุทธเจ้า ๆ  ก็ไม่ให้เขาอุปสมบท 
           ภิกษุใดขอนิสัยต่อข้าพระพุทธเจ้า ๆ บอกกะภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า  
           อาวุโส  เราเป็นผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร  ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร  
           ถ้าท่านจักถืออยู่ป่าเป็นวัตร  ถือบิณฑบาตเป็นวัตร  ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตรบ้างได้    
           เราก็จักให้นิสัยแก่ท่านตามความประสงค์   ถ้าภิกษุนั้นรับคำของข้าพระพุทธเจ้า ๆ 
           จึงจะให้นิสัย ถ้าภิกษุนั้นรับคำของข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่ให้นิสัย     
           ข้าพระพุทธเจ้าแนะนำบริษัทอย่างนี้แล  พระพุทธเจ้าข้า ”
   
            พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสชมพระอุปเสนว่า

         “  ดีแล้ว ดีแล้ว อุปเสน เธอแนะนำบริษัทได้ดีจริงๆ  ”
 


            โดยสรุปแล้ว ถ้าใครต้องการให้พระอุปเสนบวชให้ก็ต้องทำตามพระอุปัชฌาย์ นั่นคือการอยู่ป่าเป็นวัตร  ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ซึ่งในจุดนี้แม้แต่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังตรัสชมพระอุปเสนเถระ ซึ่งการตรัสชมพระอุปเสนของพระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงถึงว่าพระองค์ทรงสรรเสริญผู้ที่มีความมักน้อย สันโดษ อยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร  ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
            แต่ว่าประเด็นที่ผู้เขียนอ้างอิงนั้นไม่ได้อยู่ตรงเนื้อหาดังกล่าว แต่ประเด็นอยู่ตรงเนื้อหาที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้ต่างหาก


           หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสชมพระอุปเสนแล้ว ก็ได้ตรัสถามพระอุปเสนต่อไปว่า
        “ เธอรู้กติกาของสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีไหม  อุปเสน ”

           พระอุปเสนตรัสตอบไปว่า
        “ ไม่ทราบเกล้าฯ  พระพุทธเจ้าข้า ”
   
           พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกพระอุปเสนว่า
        “ ดูก่อนอุปเสน สงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถี ตั้งกติกากันไว้ว่า 
          ท่านทั้งหลาย  พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะเสด็จหลีกออกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส 
          ใคร ๆ อย่าเข้าไปเฝ้าพระองค์  นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียว 
          ภิกษุใดเข้าไปเฝ้าพระองค์  ต้องให้แสดงอาบัติปาจิตตีย์  ”
 

            ท่านผู้อ่านเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้  เราลองมาคิดกันว่า เมื่อพระอุปเสนเรับรู้ถึงสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งว่าจะเสด็จหลีกเร้นตลอดไตรมาส และกติกาที่สงฆ์ในเขตสาวัตถีตกลงกันแล้ว
            ประเด็นที่ ๑ พระอุปเสนจะทำอย่างไรต่อไป   พระอุปเสนจะแสดงอาบัติปาจิตตีย์หรือไม่ 
            ประเด็นที่ ๒ ยังมีเรื่องที่พระอุปเสนเสด็จมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในตอนที่พระองค์ปรารถนาจะหลีกเร้นอยู่พระองค์เดียวตลอดไตรมาสอีก  ซึ่งพระอุปเสนไม่ทราบเรื่องที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จหลีกเร้นอยู่เพียงผู้เดียวตลอดไตรมาส   การที่ได้มาเข้าเฝ้าพระองค์แล้ว พระอุปเสนจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้
 
             ถ้าเป็นท่านผู้อ่าน ท่านผู้อ่านจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ ท่านผู้อ่านจะแสดงอาบัติปาจิตตีย์หรือไม่  อย่าลืมว่าไม่ว่าจะทำสิ่งใด การกระทำของแต่ละคนก็จะสะท้อนถึงคุณธรรมและภูมิธรรมของแต่ละท่าน  บางท่านอาจจะนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก  หรือบางท่านอาจจะรีบแสดงอาบัติปาจิตตีย์ แล้วขอขมากรรมพระผู้มีพระภาคเจ้าในทันที  ไม่ว่าแต่ละท่านจะกระทำอะไรออกมา นั่นเป็นการสะท้อนถึงระดับภูมิธรรมของแต่ละท่านนั่นเอง  คนที่มีภูมิธรรมสูง คุณธรรมสูง ปัญญาสูง ย่อมทำอะไรสมบูรณ์มากกว่าคนที่มีภูมิธรรม คุณธรรม ปัญญาในระดับที่ต่ำกว่า 


             อย่างไรก็ตาม  เรามาดูเหตุการณ์ต่อไปกันเถิดว่า พระอุปเสนเถระจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อพระอุปเสนรู้ถึงสิ่งที่สงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีตกลงกันไว้


             พระอุปเสนเมื่อได้ฟังสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสบอกถึงกติกาของสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีแล้ว จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

          “ พระสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถี   จักทราบทั่วกันตามกติกาของตน   
            พวกข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แต่งตั้งสิกขาบทที่พระองค์มิได้ทรงบัญญัติ
            และจักไม่เพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้        
            จักสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้  ”


            พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ยินพระอุปเสนกล่าวดังนั้น จึงตรัสชมว่า
          “ ดีแล้ว ดีแล้ว อุปเสน  ไม่ควรแต่งตั้งสิกขาบทที่เรายังมิได้บัญญัติ   
            หรือว่าไม่ควรเพิกถอนสิกขาบทที่เราบัญญัติ 
            ควรสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่เราได้บัญญัติไว้ ”

            หลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสชมพระอุปเสนแล้ว จึงตรัสพระพุทธานุญาตพิเศษต่อไปว่า
          “ เราอนุญาตให้พวกภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร  เข้าหาเราได้ตามสะดวก ”

            ครั้นท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกับภิกษุบริษัทลุกจากอาสนะ  ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณแล้วหลีกไป เวลานั้น ภิกษุหลายรูปกำลังรออยู่ที่นอกซุ้มประตูพระวิหาร ด้วยตั้งใจว่าพวกเราจักให้ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรแสดงอาบัติปาจิตตีย์
            ภิกษุเหล่านั้นได้ถามท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรดังนี้ว่า อาวุโสอุปเสนท่านทราบกติกาของสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีไหม
            ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรจึงได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่เข้าเฝ้าพระผู้พระภาคเจ้าแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า
          “ พวกข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แต่งตั้งสิกขาบทที่พระองค์มิได้ทรงบัญญัติ    
             และจักไม่เพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ 
             จักสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้ ดังนี้  
             พระผู้มีพระภาคเจ้าเลยทรงอนุญาตให้บรรดาภิกษุผู้ถือ  การอยู่ป่าเป็นวัตร   
             ถือบิณฑบาตเป็นวัตร  ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร  เข้าเฝ้าได้ตามสะดวก  ดังนี้ ”

             ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้ยินสิ่งที่พระอุปเสนเล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว  ภิกษุเหล่านั้นเห็นด้วยในทันทีทันใดว่า  ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรพูดถูกต้องจริงแท้  พระสงฆ์ไม่ควรแต่งตั้งสิกขาบทที่ยังมิได้ทรงบัญญัติ     หรือไม่ควรเพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ ควรสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้  
 




             เรื่องราวของพระอุปเสนนั้นได้ให้ข้อคิดหลายอย่าง ไม่รู้ว่าแต่ละท่านได้แง่คิดอะไรบ้าง  แต่ในความคิดของผู้เขียน ข้อคิดที่เห็นเด่นชัดมากนั่นก็คือ
 
            ไม่ว่าใครก็ตามจะใช้พวกมากสักเพียงไหน  แต่ถ้าสิ่งที่กระทำนั้นเป็นสิ่งผิดหลักธรรม การใช้พรรคพวกมาก  ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผิดให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกได้ 
            และในทางกลับกัน ไม่ว่าใครก็ตามจะมีคนน้อยแค่ไหนก็ตาม  แต่สิ่งที่กระทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักธรรม ต่อให้คนอื่นมีพวกมากแค่ไหน  ก็หาได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ถูกนั้นเป็นสิ่งที่ผิดไม่
            เรื่องบางเรื่อง การใช้พรรคพวกมากไม่มีประโยชน์อะไร  ต่อให้มีปริมาณมากสักเท่าไหร่ก็ตามก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอธรรมให้กลายเป็นธรรมได้  เพราะฉะนั้น จึงขอให้ทุกคนสังเกตดีๆ ว่าสิ่งที่ผู้คนทำอยู่นั้นถึงแม้ว่าจะมีผู้คนมากมายสักเพียงไหน  แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ถูก  ดังนั้นคำพูดที่คนส่วนมากชอบพูดว่า “ ใครๆเขาก็ทำกัน ” จึงไม่สามารถใช้ได้ในกรณีนี้  การมีพวกมากอาจจะช่วยด้านจิตใจบ้าง คือมีเพื่อนร่วมกระทำสิ่งนั้นด้วยกันอยู่มากมาย ดูแล้วอาจจะรู้สึกอบอุ่น  แต่ก็มิได้หมายความว่าเขาเหล่านั้นจะช่วยท่านให้พ้นจากความผิดในฐานละเมิดหลักธรรมไปได้   ซึ่งบางครั้งการยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง อาจจะดูโดดเดี่ยว แต่ก็เป็นเรื่องคุ้มค่าอย่างยิ่ง
            อย่างไรก็ตาม มีคำถามที่สำคัญมากตามมาก็คือ คุณรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ยืนหยัดอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ถูก  ที่มีคำถามอย่างนี้ไม่ได้ต้องการให้ทุกคนลังเลหรือสับสน  เพียงแต่ผู้ที่ยืนหยัดนั้นต้องมีปัญญาพอสมควรในการพิจารณาว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งผิด มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าเรายืนหยัดในสิ่งผิดอยู่คนเดียว  กลับเป็นว่าตัวเรานั้นเองเป็นตัวปัญหาของเรื่องนี้อยู่คนเดียวโดยไม่รู้ตัว   ความมั่นใจอย่างเดียวอาจจะไม่พอ   ซึ่งทางออกของเรื่องนี้ น่าจะอยู่ในส่วนของการศึกษา ประพฤติ ปฏิบัติธรรม  เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ จนเกิดปัญญาอย่างแท้จริง  เพื่อสามารถมองออกว่าสิ่งใดถูกตามหลักธรรม สิ่งใดผิดหลักธรรม  

            ส่วนคำถามที่เกริ่นไว้ตอนต้นในประเด็นที่ ๑  ก็มีคำตอบชัดเจนอยู่แล้วว่า พระอุปเสนไม่จำเป็นต้องแสดงอาบัติปาจิตตีย์
            ด้วยหลักที่ว่า “ จักไม่แต่งตั้งสิกขาบทที่พระองค์มิได้ทรงบัญญัติ
                                    และจักไม่เพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้        
                                    จักสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้ ”

            ในส่วนประเด็นที่ ๒  ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประสงค์จะหลีกเร้นอยู่คนเดียว แต่พระอุปเสนกลับมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระเชตวัน  คำตอบในเรื่องนี้ก็ชัดเจนเช่นเดียวกันว่า พระอุปเสนไม่ต้องทำอย่างไรกับเรื่องนี้ เพราะในตอนท้ายเรื่อง พระบรมศาสดาให้พุทธานุญาตพิเศษแก่ผู้ที่อยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เข้าเฝ้าได้ตามสะดวก

            เหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะเป็นกรณีศึกษาเป็นอย่างมาก พระสงฆ์ในพระนครสาวัตถีอยู่ดีๆ ตั้งกฎขึ้นมาเองโดยกฎนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าบัญญัติขึ้น ถ้าเกิดมีใครไปยึดถือตามแล้ว ในอนาคต ถ้ามีผู้ใดผู้หนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ตั้งอะไรขึ้นมาเอง โดยที่สิ่งเหล่านั้นอาจจะมาจากประสบการณ์ส่วนตัว  มาจากคิดไปเอง หรือมีที่มาจากเหตุใดก็แล้วแต่   ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติ  ซ้ำร้ายยังตั้งสิ่งนั้นขึ้นมาเป็นกฎหรือทฤษฎีแล้วสอนผู้อื่นต่อไปเรื่อยๆ   ก็จะทำให้พระพุทธศาสนาเสียหายอย่างใหญ่หลวง หรืออาจถึงขั้นล่มสลายเลยก็เป็นไปได้
            ในทางกลับกัน ถ้าเกิดมีใครไม่ชอบสิ่งที่พระองค์บัญญัติ แล้วก็มาเพิกถอนสิ่งที่พระองค์บัญญัติ ซึ่งอาจจะเป็นหลักธรรม หรือสิกขาบท  ก็จะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้เช่นเดียวกัน  ดังนั้นหลักอปริหานิยธรรมนี้จึงเป็นหลักที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก 

            ทุกท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่าพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทที่ดำรงอยู่ในประเทศไทยนั้นได้เผยแผ่มาจากแถบประเทศอินเดียในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช  ได้ผ่านกาลเวลาอันยาวนาน คำสอนต่างๆได้ผ่านการสังคายนามาหลายครั้ง 

            แต่กลับเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างของนักวิชาการหรือนักปราชญ์ทั่วไปว่า  คำสอนของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทที่อยู่ในประเทศไทยขณะนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกรวบรวมและมีความสมบูรณ์ที่สุด ในยุคปัจจุบันนี้ (พ.ศ.๒๕๕๓)  อีกทั้งเมื่อดูในแง่ของผู้ปฏิบัติตามหลักเถรวาทนี้ ตั้งแต่ยุคพุทธกาลเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้  ก็ยังมีผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เกิดขึ้นมาโดยตลอด  นั่นแสดงว่าหลักที่ประพฤติปฏิบัติกันอยู่นั้นยังเป็นหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

            แม้แต่สิ่งก่อสร้างในยุคสมัยพุทธกาล ตัวอย่างเช่น  บุพพารามวิหาร ซึ่งเป็นวิหารที่นางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างถวายแด่สงฆ์ ประกอบด้วยปราสาทสองชั้น ชั้นบนมี ๕๐๐ ห้อง ชั้นล่างมี ๕๐๐ ห้อง และสร้างเรือน ๒ ชั้น ๕๐๐ หลัง  ปราสาทเล็ก ๕๐๐ หลัง  ศาลายาว  ๕๐๐ หลัง  แวดล้อมปราสาทนั้น  ซึ่งน่าจะเป็นปราสาทที่มีความใหญ่โตมโหฬารเป็นอย่างมาก แต่เมื่อผ่านกาลเวลาอันยาวนานจนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ ก็มิได้หลงเหลือสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นให้เห็นอีกเลย  อย่าว่าแต่สิ่งก่อสร้างเลย แม้แต่แคว้นอันยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นมหาอำนาจสมัยพุทธกาล เช่นแคว้นมคธ  ก็ยังอันตรธานหายไปไม่หลงเหลือความเป็นแคว้นหรือเมืองเหมือนดั่งในสมัยพุทธกาล  ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาและมีตัวอย่างมากมายของการล่มสลายของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ในอดีต  
            ในเมื่อสิ่งต่างๆส่วนมากที่อยู่ในสมัยพุทธกาล ล้วนแล้วแต่พังทลายล่มสลาย แต่แล้วทำไมคำสอนที่เผยแผ่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ยังมีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่อยู่ ใครประพฤติปฏิบัติตามยังได้ผลที่ยิ่งใหญ่อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง  นั่นแสดงว่า คำสอนยังคงเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในความคิดของผู้เขียนสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก และต้องถนอมรักษาสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่ได้นานที่สุดตราบนานเท่านาน    
            ถึงแม้ว่าเราอาจจะเกิดมาไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและฟังธรรมต่อหน้าพระพักตร์  แต่ทุกคนก็ไม่ต้องเสียใจไป และขอให้ทุกคนดีใจเถิดว่าตอนนี้ยังคงมีการดำรงอยู่ของพระสัทธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

            อย่างไรก็ตาม จากที่กล่าวมาข้างต้น  สิ่งใดหรือที่ทำให้คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงยังคงถูกรักษาให้มีอานุภาพอยู่ได้ โดยผ่านกาลเวลาอันยาวนาน

             ในความคิดของผู้เขียนนั้น  คำตอบของเรื่องนี้อาจจะมีหลายเหตุหลายปัจจัยที่ทำให้เป็นเช่นนั้น    แต่ปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่งนั้น เป็นเพราะชาวพุทธปฏิบัติตามหลักอปริหานิยธรรม(ข้อที่ ๓) อย่างเคร่งครัดใช่หรือไม่ 

             “ จักไม่บัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ 
                จักไม่เพิกถอนสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว
                ยังจักสมาทานประพฤติอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
                ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าบัญญัติไว้แล้ว ”

            การปฏิบัติตามหลักนี้อย่างเคร่งครัดใช่หรือไม่  ที่ทำให้คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้คงความสมบูรณ์ที่สุดและยังสามารถสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้   โดยที่หลักอปริหานิยธรรม น่าจะเป็นสิ่งที่ชาวพุทธในอดีตยึดถือและปฏิบัติตามกันมาอย่างเคร่งครัด 
            ซึ่งตราบใดที่ชาวพุทธทั้งหลายตั้งใจที่จะรักษาพระศาสนาโดยใช้หลักธรรมนี้ ความผิดเพี้ยนต่างๆย่อมจะไม่สามารถบังเกิดขึ้นได้ 

            ในปัจจุบันนี้หรืออนาคตกาลเบื้องหน้า หากมีครูบาอาจารย์ หรือผู้ศึกษาธรรมทั้งหลาย เผยแผ่คำสอน หรือบทความต่างๆ แก่ลูกศิษย์ทั้งหลาย  ซึ่งคำสอนเหล่านั้นอาจจะมาจากการฝึกปฏิบัติ ประสบการณ์ส่วนตัว หรือมีที่มาจากแหล่งใดก็ตาม    แต่หน้าที่ของทุกท่าน มีความจำเป็นต้องตรวจสอบทุกคำสอน ทุกบทความ (รวมทั้งบทความนี้ และก่อนหน้าด้วย) ว่า

            “  ได้บัญญัติสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้บัญญัติไว้หรือไม่
                หรือเพิกถอนสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าบัญญัติไว้แล้วหรือไม่ ”

            ถ้าเกิดคำสอนเหล่านั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้  ทุกท่านก็พึงรู้ไว้ อีกทั้งถ้าเป็นไปได้ก็สามารถเข้าไปแก้ไข หรือยับยั้งไม่ให้คำสอนที่ผิดเหล่านั้นลุกลามไปเรื่อยๆ  หรือไม่ก็ยังสามารถให้ความกระจ่างแก่ผู้คนทั้งหลายได้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่พระสัทธรรม 

            จากประสบการณ์ที่ได้ฟัง หรืออ่านบทความ ของอาจารย์หลายท่าน เป็นเรื่องน่าใจหายเป็นอย่างมาก เนื่องจากพบว่า มีหลายคำสอน หลายบทความของอาจารย์เหล่านั้นสอนแก่ลูกศิษย์  ซึ่งคำสอนเหล่านั้นอาจไม่ใช่พระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  อีกทั้งผู้เผยแผ่นั้นก็เป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียง มีมวลชนเป็นอันมากนับถือ 
            ผู้เขียนจึงอยากจะเตือนชาวพุทธทั้งหลายว่า อย่าประมาท คำพูดของผู้คนในยุคหลังนั้น  ไม่ได้เป็นพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญู  ดังนั้นความสมบูรณ์ในคำพูดทั้งหลายย่อมยากที่จะบังเกิดขึ้น  ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากความพยายามที่จะอธิบายพระสัทธรรมที่ลึกซึ้ง ยิ่งอธิบายอาจจะยิ่งทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน หรือไม่ก็มีการนำความคิดของตนใส่เข้าไปเพิ่ม  ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม  คำพูดของคนยุคหลัง ย่อมมีความผิดพลาดบังเกิดขึ้นได้เสมอ 
            สิ่งที่ชาวพุทธควรระลึกไว้เสมอคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนสิ่งอื่นนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ยังคงไม่สามารถวางใจได้ทั้งสิ้น

            ดังนั้น    จึงเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทั้งหลาย ช่วยกันทำหน้าที่พุทธบริษัท ๔ อย่างเคร่งครัด (โปรดอ่าน หน้าที่ของพุทธบริษัท ๔) โดยช่วยกันตรวจสอบบทความหรือคำสอนต่าง ๆ ก่อนที่จะนำมาเผยแผ่ หรือประพฤติ ปฏิบัติตาม  อาจจะถึงเวลาแล้วที่ทุกท่านจะทำอะไรเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง  ขอให้ชาวพุทธทุกท่านช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาเพื่อความคงอยู่ของพระสัทธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งให้เหล่าสรรพสัตว์ต่อไปให้ตราบนานเท่านาน 

“ พวกข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แต่งตั้งสิกขาบทที่พระองค์มิได้ทรงบัญญัติ    
       และจักไม่เพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ 
       จักสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้ ดังนี้  ”

 
อ้างอิง ๑ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๙ พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ ๕๑๖

อ้างอิง ๒ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๓๙

อ้างอิง ๓ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๓ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๐๔

<< จบบทความ >>   



มีผู้อ่านจำนวน : 4014 ครั้ง


backbutton
gototop
back2home_style3 go2contentstore_style03
Bottom Tab Content

Who's Online

We have 4 guests and no members online