โจร(เพชฌฆาต)เคราแดง ภาค๒
(ส่วนความเห็นและการวิเคราะห์ของผู้เขียน)
ถ้าท่านมีคำถามเกิดขึ้นในใจบ้างแล้ว ก็ขอเชิญท่านทั้งหลายอ่านบทความนี้ และมาร่วมด้วยช่วยกันวิเคราะห์เนื้อเรื่องเพื่อให้เกิดปัญญา เรื่องนี้มีสิ่งที่น่าขบคิดพิจารณาหลายอย่าง จึงได้นำเรื่องนี้มานำเสนอเพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านได้พิจารณากัน ในความคิดเห็นของผู้เขียน เรื่องนี้เมื่ออ่านผ่านๆ ก็อาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำทานเป็นหลัก แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสรุป การทำทานเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในเรื่องก็จริง แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นที่ละเลยไม่ได้นั่นคือ กัลยาณมิตร กับพระธรรม (ในส่วนเพียงแค่อนุโมทนากถา)
ดังนั้นทางผู้เขียนจะขอกล่าวถึงคำ ๓ คำซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้นั่นคือ ทาน, กัลยาณมิตร และพระธรรม หมายเหตุ : ที่จะขอกล่าวเพียงคำ ๓ คำซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้เท่านั้น ก็เพราะว่า แต่ละส่วนในเนื้อหามีความสำคัญและความลึกซึ้งมากมาย ถ้าจะขยายความให้ครอบคลุมได้ทั้งหมดของบทความก็อาจจะใช้เวลานานมาก จึงขอบีบวงเข้ามาเพื่อให้ทุกท่านได้ใช้เวลาอันมีประโยชน์ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในตอนนี้
ทาน แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน
๑. ด้านตัวผู้กระทำทาน
ประเด็นที่ ๑ ลักษณะนิสัยของโจรเคราแดง พิจารณาแล้วโจรเคราแดงนั้นน่าจะเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยดังนี้
- ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เพราะดูได้จากถึงแม้โดนหัวหน้าโจรปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยอมแพ้ พยายามหาทางออกเพื่อจะได้เข้าร่วมแก๊งเดียวกับโจรกลุ่มนี้ โดยหันไปเอาใจลูกน้องโจรคนหนึ่งเพื่อให้ลูกน้องโจรคนนั้น ฝากฝังตนกับหัวหน้าโจร - เป็นคนมีปัญญาหรือไม่ เท่าที่ผู้เขียนเห็นแล้วก็น่าจะมีปัญญาระดับหนึ่งพอสมควร เพราะสามารถหาทางออกจนหัวหน้าโจรยอมรับเข้ากลุ่ม - เป็นคนเด็ดเดี่ยวกล้าทำอะไรที่คนอื่นไม่กล้าทำได้ ส่วนนี้ดูได้จากการที่สามารถกล้าบั่นคอพรรคพวกทั้ง ๔๙๙ คนด้วยขวาน ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคพวกของตนเองไม่ยอมกระทำ และคนชาวเมืองมากมายก็ไม่กล้ากระทำ พวกโจรเหล่านั้นต้องโทษพิพากษาประหารชีวิต อย่างไรก็ตามโจรกลุ่มนั้นก็ต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าใครจะเป็นผู้ลงมือทำเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่โจรเคราแดงยอมกระทำ
ประเด็นที่ ๒ ลักษณะการทำทานของบุรุษเคราแดง น่าจะเป็นลักษณะการทำบุญแบบยอมเป็นยอมตาย
บุรุษบุคคลหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ตัดศีรษะคนอื่นมาทั้งชีวิต อีกทั้งยังไม่เคยได้รับเสื้อผ้า ตกแต่งร่างกายด้วยของหอม และอาหารที่ดี หลังจากเกษียณอายุงานก็หวังว่าจะได้รับประทานอาหารเลิศรส จึงค่อยๆ ไปชำระล้างร่างกายให้สะอาด นุ่งผ้าใหม่ ประดับด้วยดอกไม้ ทาด้วยของหอม แล้วก็ไปที่เรือน ซึ่งที่นั่นได้มีการเตรียมอาหารที่ตนใฝ่ฝันมานานแล้ว อีกทั้งอาหารที่เลิศรสน่าทานเป็นอย่างมากนั้นได้ตั้งไว้ตรงหน้าตัวเองแท้ๆ ความอยากกินอาหารของบุรุษเคราแดงนั้น ทุกคนคงคิดออกว่าจะมากมายขนาดไหน การหักไม่ยอมแพ้ความอยากของตนเอง แล้วพลิกไปนิมนต์พระสารีบุตรมาฉันอาหาร การกระทำแบบนี้เหมือนกับยอมเป็นยอมตาย
ประเด็นที่ ๓ เหตุใดบุรุษเคราแดงถึงทำเช่นนั้นได้ อาหารอันโอชะวางอยู่ตรงหน้าแต่สามารถตัดใจ ไปนิมนต์พระสารีบุตรมารับอาหาร ซึ่งใช้โอกาสที่ได้มาให้เกิดประโยชน์กับตนเองสูงสุดได้
ทำไมบุรุษเคราแดงจึงสามารถเอาชนะความอยากของตนเองได้ แสดงว่าบุรุษเคราแดงต้องเป็นผู้ฝึกมาก่อน ถึงสามารถทำเช่นนั้นได้ใช่หรือไม่ ถ้าทุกท่านปรารถนาเอาชนะกิเลสแบบบุรุษเคราแดงได้ ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างดังนี้ - เมื่อทุกท่านซื้ออาหาร เช่น ลูกชิ้นปิ้ง ซึ่งในขณะนั้นมีความหิวเป็นอย่างมาก พอดีเห็นสุนัขอดโซกำลังมายืนอยู่ที่หน้าท่าน ทุกท่านสามารถหักใจไม่รับประทาน แล้วให้อาหารแก่สุนัขนั่นได้หรือไม่ - เมื่อขณะท่านดูรายการซีรีย์หนังเกาหลีซึ่งเป็นเรื่องที่อยากดูมาก ติดตามดูมาโดยตลอด ซึ่งเป็นตอนอวสาน น้องชายมาเรียกให้ท่านไปสอนหนังสือให้ ท่านสามารถหักใจ ไม่ยอมดูหนังได้หรือไม่ - เมื่อท่านกำลังจะดูบอลโลกรอบชิงชนะเลิศที่ ๔ ปีจะมีสักครั้งหนึ่ง มีคนกำลังเดือดร้อนได้โทรมาหาท่านเพื่อปรึกษาเรื่องสำคัญของเขาพอดี ท่านจะสามารถเลิกดูบอล หันมาให้ความสำคัญโดยตั้งใจฟังเรื่องราวนั้นอย่างละเอียด และหาทางช่วยเหลือแก้ไขเรื่องราวที่เขากำลังประสบอยู่ได้หรือไม่ - เมื่อท่านหลับสนิท อากาศเย็นสบาย กำลังเพลินๆ ตอนตีสี่ มีคนเรียกท่านไปช่วยเหลือธุระบางอย่าง ท่านสามารถหักใจลุกขึ้นมา แล้วทำจิตเป็นกุศลในทันทีได้หรือไม่ - ขณะที่ท่านกำลังเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ อย่างเมามันอยู่ กำลังเล่นถึงตอนที่กำลังถึงจุดวิกฤติอยู่ พ่อแม่ใช้ให้ไปธุระ ท่านสามารถหักใจออกจากเกมส์ แล้วทำจิตเป็นกุศลในทันทีได้หรือไม่ - ในตอนที่ท่านเปิดประตูกำลังจะเดินออกจากบ้านไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน ซึ่งในกลุ่มนั้นมีคนที่ท่านชอบหมายตาอยากจะทำความรู้จักอยู่ พอดีคนที่บ้านใช้ท่านให้ไปซื้อและเปลี่ยนหลอดไฟในห้องน้ำ ท่านจะไปจัดการธุระก่อน หรือท่านจะออกไปเที่ยวก่อนแล้วค่อยกลับมาจัดการเปลี่ยนหลอดไฟในห้องน้ำที่มืดมิดอยู่
ด้านบนเป็นเหตุการณ์ตัวอย่างที่ยกมาเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจ ขอให้ท่านไประลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ของตนที่ไปประสบมาเอง เช่น กำลังหลงใหล เคลิบเคลิ้ม เมามัน หมกหมุ่น จมดิ่งกับสถานการณ์อะไรก็ตาม แล้วมีเหตุการณ์เรื่องดีๆ แทรกเข้ามา แต่ละท่านสามารถหักหรือตัดใจกับสิ่งที่กำลังจมอยู่แล้วกลับไปทำสิ่งที่ดีที่แทรกเข้ามาได้หรือไม่ เรื่องนี้เป็นส่วนที่ทุกท่านต้องฝึกสะสมไปเรื่อยๆ เมื่อโอกาสได้มาถึง ทุกท่านก็จะสามารถทำแต่ละสิ่งได้อย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าท่านไม่ได้ฝึกมา ก็เป็นการยากที่จะทำได้ ถึงแม้โอกาสที่จะสร้างประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นมาถึง ท่านก็จะไม่สามารถทำโอกาสนั้นให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นได้
อย่าว่าแต่การให้แบบยอมเป็นยอมตายเลย การให้แบบปกติทุกท่านทำได้อย่างดีแล้วหรือไม่ ซึ่งสามารถมองในปัจจุบันนี้ทุกท่านสามารถกระทำสิ่งต่างๆ ได้สมบูรณ์หรือไม่ โอกาสที่ได้ช่วยเหลืองานของพ่อแม่ โอกาสในการช่วยสงเคราะห์ญาติ โอกาสในการช่วยคนเดือดร้อนทั้งหลาย ถ้าทุกท่านยังไม่ได้ฝึกฝนตนก็สามารถเดาได้เลยว่าแต่ละท่านได้แต่ปล่อยโอกาสต่างๆ หลุดลอยไปเมื่อโอกาสอันดีมาถึง
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์จริง ท่านคิดหรือว่าท่านสามารถจะทำได้ อย่าไปมองไกลถึงโอกาสจะพบกับพระอรหันต์ที่ออกจากนิโรธเลย สมมติคนชวนท่านไปฝึกปฏิบัติธรรม กับชวนท่านไปเที่ยวยุโรปแล้วออกเงินให้ ท่านจะเลือกไปสิ่งไหน ขอให้ท่านตอบตามความจริงอย่าได้โกหกตัวเอง ถ้าทุกท่านไม่ได้ฝึกมาแล้วจึงไม่มีทางที่จะทำได้ดังบุรุษเคราแดง ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องฝึกสะสมให้กล้าแข็ง เมื่อท่านเห็นความจริง ยอมรับความจริง และเร่งฝึกปฏิบัติ เพราะเมื่อไปประสบกับโอกาสต่างๆ แล้วถึงจะสามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ ถ้าแต่ละคนไม่มีการฝึกฝนสะสมมา ก็อย่าฝันว่าจะไปทำในสิ่งที่ถูกต้องได้
เมื่อไรก็ตามทุกท่านสามารถทำในสิ่งเล็กน้อยได้ และฝึกไปเรื่อยๆ จนกล้าแข็ง ทุกคนก็จะสามารถทำในสิ่งที่ยากได้ เมื่อทุกคนมีความพร้อม เมื่อไปอยู่ที่ไหนก็สามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ ต่อให้อยู่สถานการณ์ไหนก็ตาม ไปเกิดในสวรรค์ เทวดาแต่ละองค์เหาะไปเที่ยวเล่น ฟ้อนรำ ท่านก็สามารถไปปฏิบัติธรรม ไม่หลงระเริง อีกทั้งยังชักนำเทวดาองค์อื่นไม่ให้ประพฤติตัวอย่างประมาท ต่อให้พลาดพลั้งไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าท่านฝึกมามากพอก็สามารถเอาตัวเองรอดได้ เหมือนดั่งเรื่องราวที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกมากมาย ที่แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังสามารถทำประโยชน์ได้
๒. วัตถุทาน
วัตถุทานในที่นี้นั่นก็คืออาหาร พิจารณาจากตัววัตถุทาน ถือว่าตัววัตถุทานนั้นบริสุทธิ์ แถมยังเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์กว่าวัตถุทานอันอื่นอีกด้วย วัตถุทานนี้ได้มาอย่างไร ได้มาจากการตอบแทนของชาวเมืองที่บุรุษเคราแดงทำงานรับใช้บ้านเมืองมาอย่างยาวนาน เมื่อเกษียณอายุงาน ชาวเมืองจึงทำการจัดแจงอาหารอย่างดีเพื่อมอบให้แก่บุรุษเคราแดง วัตถุทานนั้นจึงเป็นของที่บริสุทธิ์มาก ไม่ได้มาจากการเบียดเบียนใคร ไม่ได้มาจากการเอาเงินของตนไปซื้อมา แต่ได้มาจากการให้ของคนอื่นเพราะผลจากการตอบแทนความดี ถึงแม้เราใช้เงินที่ได้มาจากการประกอบอาชีพสุจริตซื้อวัตถุทาน วัตถุทานอาจจะไม่บริสุทธิ์เท่านี้ เนื่องจากอาชีพส่วนมากได้มาจากการเบียดเบียนผู้อื่น ไม่มากก็น้อย ซึ่งต่างจากวัตถุทานที่ได้มาจากการทิ้งหรือการให้จากผู้อื่น
เงินที่หามาได้จากการประกอบอาชีพ ถึงแม้ทางโลกถือว่าอาชีพนั้นเป็นอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดกฎหมาย เงินที่ได้มาสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเท่ากันหมด แต่ในแง่ของธรรมนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย ความแตกต่างนั้นเกิดจากการได้มาของเงินนั้นเกิดจากการเบียดเบียนผู้อื่นมากหรือน้อย และจิตขณะประกอบอาชีพนั้นมีความเป็นกุศลหรืออกุศล หลังจากที่ได้เงินดังกล่าวมา เงินนั้นได้แปรสภาพเป็นวัตถุทานต่างๆ วัตถุทานดังกล่าวจึงมีความบริสุทธิ์น้อยมากแตกต่างกันตามแหล่งที่มา ดังนั้นในแง่ความบริสุทธิ์ วัตถุทานของบุรุษเคราแดงที่ได้มาจากการตอบแทนความดีจึงมีความบริสุทธิ์มาก
๓. ส่วนผู้รับทาน
ผู้รับทานนั้นเป็นทักขิไณยบุคคล(ผู้ควรรับทักษิณาทาน) ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แถมได้ส่วนเสริมที่พิเศษอีกนั่นคือเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ดังนั้นผู้ที่รับทานของบุรุษเคราแดงเป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่ เมื่อหว่านเมล็ดพืชลงไปนาบุญที่เลิศย่อมทำให้ออกดอกออกผลบุญอย่างมากมายแก่ผู้ที่ทำการถวายแด่ท่าน
ส่วนของบุญที่จะได้กับผู้ที่มีโอกาสตักบาตรพระที่เพิ่งออกจากนิโรธ ถือว่าเป็นบุญที่มีขนาดใหญ่รุนแรง ให้ผลยาวนานมาก ดูได้จากผลของผู้ที่ตักบาตรพระที่ออกจากนิโรธ คนๆ นั้นจะรวยขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็วมาก อย่างช้าไม่เกิน ๗ วัน ตัวอย่างเช่น นายปุณณะ ภรรยาถวายอาหารแด่พระสารีบุตรตอนเช้า ตอนสายไปไถนา สถานที่ที่เขาไถได้กลายเป็นทองคำ
เมื่อพิจารณาแล้ว ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ในส่วนของผู้รับทาน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรถึงได้มีโอกาสได้ทำบุญกับพระผู้เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติได้ ซึ่งถือว่าเป็นบุญลาภอันยิ่งใหญ่
เมื่อพระอรหันต์ออกจากนิโรธสมาบัติ จะทำการพิจารณาว่าจะสงเคราะห์ใคร ดังตัวอย่างต่อไปนี้
(อ้างอิง ๑) พระปัจเจกพุทธเจ้า ออกจากสมาบัติ ได้ทำการพิจารณาว่าควรจะสงเคราะห์ผู้ใด เรื่องสุขสามเณร
(อ้างอิง ๒) พระสารีบุตรออกจากนิโรธ เมื่อพิจารณาแล้วจึงได้ไปสงเคราะห์นายปุณณะ
(อ้างอิง ๓) พระมหากัสสปเถระ ออกจากนิโรธสมาบัติแล้วพิจารณาว่าจะทำการสงเคราะห์ใคร เมื่อพิจารณาเสร็จจึงไปสงเคราะห์แก่บ้านของนายกาฬวฬิยะ
(อ้างอิง ๔) พระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่าอุปริฏฐะเข้านิโรธสมาบัติที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัตินั้นแล้วพิจารณาว่าวันนี้ควรจะทำการอนุเคราะห์ใคร ก็ธรรมดาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้อนุเคราะห์คนเข็ญใจ ท่านคิดว่าวันนี้เราควรทำการอนุเคราะห์ นายอันนภาระ
(อ้างอิง ๕) พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าที่เงื้อมนันทมูลกะออกจากนิโรธในวันที่ ๗ ล้างหน้าที่สระอโนดาต เคี้ยวไม้สีฟันนาคลดา เมื่อพิจารณาแล้วว่าจะสงเคราะห์ใคร แล้วจึงไปสงเคราะห์แก่ธิดาเศรษฐี
(อ้างอิง ๖) พระมหากัสสปะ เข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน ออกจากนิโรธนั้นแล้วคิดว่า วันนี้เราจักอนุเคราะห์ใคร ด้วยการรับอาหารหนอ จักเปลื้องใคร จากทุคติและจากทุกข์ เห็นหญิงนั้นใกล้ตาย และกรรมของนางที่จะนำไปนรก และโอกาสแห่งบุญที่นางได้ทำแล้ว คิดว่าเมื่อเราไป หญิงคนนี้จักถวายข้าวตังที่ตนได้แล้ว เพราะบุญนั้นนั่นแหละ นางจักเกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี
(อ้างอิง ๗) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปิยทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก วันหนึ่ง ด้วยมีพุทธประสงค์จะทรงอนุเคราะห์ดาบส จึงเสด็จเข้าไปสู่หมู่ไม้สาละนั้น ประทับนั่งแล้ว เข้านิโรธสมาบัติ ดาบสเดินไปหามูลผลาผลในป่า เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว มีใจเลื่อมใส ถือเอากิ่งรังซึ่งมีดอกบานสะพรั่งทำเป็นปะรำกิ่งไม้ คลุมปะรำนั้นทั้งหมด ด้วยดอกรังล้วน ๆ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ไม่ออกไปหาอาหาร ยืนนมัสการอยู่แล้ว ด้วยอำนาจแห่งปีติและโสมนัสนั้นเอง (เรื่องราวในอดีตของนิโครธเถระ)
(อ้างอิง ๘) พระเถระองค์หนึ่งในอดีตชาติได้กำเนิดเป็นราชสีห์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ อยู่ในถ้ำแห่งภูเขา พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปสู่ถ้ำ ในเวลาที่ราชสีห์หลีกออกไปหากิน เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา ประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติแล้ว ราชสีห์คาบเอาเหยื่อกลับมาเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ประตูถ้ำ เป็นผู้ร่าเริงยินดี กระทำการบูชาด้วยดอกไม้ที่เกิดในน้ำและดอกไม้ที่เกิดบนบก ทำใจให้เลื่อมใส บันลือสีหนาทในเวลาทั้ง ๓ เพื่อให้สัตว์ร้ายในป่าหนีไป เพื่อถวายอารักขาพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ยืนเฝ้าอยู่โดยมีพุทธานุสติเป็นอารมณ์ ได้บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๗ วัน อย่างสม่ำเสมอเหมือนอย่างที่บูชาในวันแรก
(อ้างอิง ๙) ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปิยทัสสี พระติสสเถระในอดีตชาติได้บรรลุนิติภาวะแล้วถึงความสำเร็จในศิลปะทั้งหลาย เห็นโทษในกามทั้งหลาย สละฆราวาสวิสัยบวชเป็นดาบส เขาสร้างอาศรมอยู่ในป่าดงรัง ใกล้ชัฏแห่งป่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเข้านิโรธสมาบัติ ประทับนั่งที่ดงรังไม่ไกลอาศรม เพื่อจะทรงอนุเคราะห์ดาบสนั้น ดาบสออกจากอาศรม เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว มีใจเลื่อมใส ปักเสา ๔ เสา ทำปะรำด้วยกิ่งรัง อันมีดอกบานสะพรั่ง ไว้เบื้องบนพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืนบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกรัง ทั้งใหม่ทั้งสดตลอด ๗ วัน ไม่ละปีติ มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
(อ้างอิง ๑๐) ในอดีตชาติของพระสัมพุลกัจจายนเถระ ในที่สุดแห่งกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า สตรังสี ออกจากนิโรธแล้วเที่ยวไปบิณฑบาต มีใจเลื่อมใสแล้วได้ถวายผลตาล
ส่วนของด้านบนนั้นคือข้อความเกี่ยวกับ ผู้ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ เมื่อได้ศึกษาจากเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว ก็พอจะสรุปเรื่องราวได้ดังนี้
๑. ผู้ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ จะพิจารณาก่อนว่าจะไปอนุเคราะห์ผู้ใด การที่ท่านจะทำการสงเคราะห์ใครนั้น ต้องผ่านการพิจารณามาก่อน ไม่ใช่ท่านจะเดินไปมั่วๆ เมื่อเจอใครก็จะโปรดคนนั้น แต่เป็นเรื่องที่ผ่านการพิจารณาด้วยญาณของท่านมาก่อนหน้าแล้ว ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ดีก็จะรู้ว่าสิ่งที่ได้มานั้นไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วยหรือความบังเอิญ เพราะเมื่อคนใดคนหนึ่งไปปรากฏในญาณของผู้ที่ออกจากนิโรธ แสดงว่าคนๆนั้นจะได้สร้างบุญกับท่านค่อนข้างแน่นอนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนกับบุญอันนี้ได้ถูกล๊อคไว้แล้วว่าจะได้กับคนๆนี้ค่อนข้างแน่นอน ขอเพียงภาพท่านไปปรากฏที่ญาณของพระที่เพิ่งออกจากนิโรธเท่านั้น ในทางกลับกัน ส่วนท่านใดไม่มีความพร้อมที่จะถวายทาน ยังไงท่านก็ไม่ได้ไปปรากฏในญาณของผู้ที่ออกจากนิโรธ ดังนั้นเราจึงควรเตรียมความพร้อม ฝึกฝนการให้ทานแบบเพชฌฆาตเคราแดงในลักษณะที่ทำบุญแบบตัดใจ ฝึกไปเรื่อยๆจนมีความชำนาญทำได้ตลอดเวลา ถ้าท่านไม่ได้สร้างส่วนนี้มาโอกาสที่ท่านจะไปปรากฏในญาณของพระที่ออกจากนิโรธก็จะไม่มี
ส่วนหลักการพิจารณาของผู้ที่ออกจากนิโรธสมาบัติว่าจะไปโปรดใครนั้นจะมีด้วยกัน ๒ ประเด็น ประเด็นที่ ๑ ผู้ที่ท่านจะไปโปรดต้องเป็นผู้ที่มีศรัทธา ประเด็นที่ ๒ ผู้ที่ท่านจะไปโปรดต้องเป็นผู้ที่สามารถถวายอาหาร หรือทำอะไรบางอย่างให้แก่ท่านได้ เช่น มีอาหารที่จะถวายให้ท่านได้พอดีในตอนนั้น
๒. ผู้ที่ท่านจะไปโปรดจะต้องมีกรรมต้องกับท่าน การที่ผู้ที่เพิ่งออกจากนิโรธแล้วจะมาโปรดใครนั้น คนนั้นก็น่าจะต้องมีกรรมต้องกันนั่นคือเคยอนุเคราะห์ช่วยเหลือกันมาก่อน
ขอให้ผู้อ่านกลับมามองที่ตัวเอง แต่ละคนเป็นคนที่เคยอนุเคราะห์ใครหรือไม่ เมื่อท่านเคยอนุเคราะห์กับผู้คนต่างๆ ในอดีต ในปัจจุบันชาติคนที่ท่านเคยอนุเคราะห์ในอดีตก็จะกลับมาอนุเคราะห์ท่าน ใครจะไปรู้ว่าผู้ที่ท่านอนุเคราะห์นั้นอาจจะเป็นผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์ในอนาคตข้างหน้า และอนาคตท่านอาจจะได้พบกับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ออกจากนิโรธมาอนุเคราะห์ท่านบ้างเนื่องเพราะกรรมต้องกัน ท่านอย่าได้มองว่า คน สัตว์ ที่ได้ช่วยเหลือว่าจะต่ำต้อย ควรจะให้เกียรติสัตว์นั้นตามฐานะ เพราะว่าไม่แน่สัตว์นั้นอาจจะเป็นผู้บำเพ็ญบารมีใกล้จะเต็ม โอกาสข้างหน้าเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทา เป็นเนื้อนาบุญอันดี เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน และก็ได้มาช่วยเหลือท่านในอนาคตก็เป็นไปได้
๓. น่าจะมีกรรมสนับสนุนอันยิ่งใหญ่ นอกจากมีกรรมต้องกับท่านแล้ว ก็น่าจะมีกรรมสนับสนุนอย่างอื่นมาช่วยด้วย เพราะแค่มีกรรมต้องกันนั้น ก็น่าจะได้แค่มีโอกาสตักบาตรท่านในยามปกติก็เพียงพอแล้ว สำหรับการช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาในครั้งก่อน ดังนั้น การที่ผู้ที่จะได้มีโอกาสสร้างทานขนาดได้ตักบาตรกับผู้ที่เพิ่งออกจากนิโรธได้ซึ่งถือว่าเป็นบุญลาภอันยิ่งใหญ่ การที่ท่านเหล่านั้นจะปรากฏในข่ายญาณของผู้ที่ออกจากนิโรธได้นั้น ต้องแสดงว่ามีกรรมสนับสนุนมาช่วยเหลือคนเหล่านั้นเพื่อเปิดโอกาสให้ได้พบกับพระที่ออกจากนิโรธ และต้องเป็นกรรมสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่
แต่กรรมสนับสนุนประเภทไหนที่สามารถทำให้เราได้มีโอกาสตักบาตรพระผู้ออกจากนิโรธสมาบัติได้
ขอถามแต่ละคนก่อนว่า แต่ละคนเคยคิดว่า จะทำตัวเองให้บริสุทธิ์เพื่อให้คนที่ทำการเลี้ยงดูเราได้บุญหรือไม่ เช่น ก่อนจะทานอาหารที่พ่อแม่นำมาให้ทานท่านเคยคิดว่าจะเป็นคนดีมีศีลธรรม เพื่อให้พ่อแม่ได้บุญมากขึ้นหรือไม่ อีกทั้งประเด็นอยู่ที่ว่าต้องทำพิเศษขึ้นมาจากปกติ เพราะถ้าเพียงคิดว่าเป็นคนดีมีศีลธรรมเพื่อให้คนที่ทำอาหารให้เราบริโภคได้บุญ ทำไปเรื่อยๆ ผลบุญนี้ก็น่าจะทำให้ได้พบเนื้อนาบุญที่ดีไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเมื่อเป็นคนดีมีศีลธรรมอยู่เป็นปกติแล้ว ก่อนจะลงมือทานอาหารแต่ละมื้อนั้น ไปนั่งสมาธิเข้าฌานเป็นพิเศษก่อนทานอาหารนอกเหนือจากการเป็นผู้มีศีลธรรมตามปกติแล้ว ผู้เขียนคิดว่ากรรมสนับสนุนประเภทนี้นั้น สะสมไปเรื่อยๆ ถึงจะได้มีโอกาสได้รับบุญลาภอันยิ่งใหญ่นั่นคือได้ไปปรากฏในข่ายญาณของพระผู้ที่เพิ่งออกจากนิโรธ
ดังนั้น คนที่ได้มีโอกาสตักบาตรพระผู้ที่เพิ่งออกจากนิโรธจึงมีน้อยมาก ต้องเป็นคนที่พิเศษดังที่ได้กล่าวมา ถึงได้มีกรรมสนับสนุนมาตอบแทนกับคนๆ นั้น แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ควรจะพึงสร้างโอกาสไปเรื่อยๆ หัดตอบแทนผู้มีพระคุณที่เลี้ยงอาหารกับเรา อย่างน้อยสำรวมกาย วาจาใจ ก่อนที่จะลงมือทานอาหารนั้น ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
กัลยาณมิตร
ส่วนด้านฝั่งของกัลยาณมิตรนั้น คำว่ากัลยาณมิตรนั้น เป็นคำที่มีคุณค่ามากมายมหาศาลอยู่แล้ว แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังถือว่าพระองค์เป็นกัลยาณมิตรกับผู้คนทั้งหลาย
ถ้าบุรุษเคราแดงไม่ได้พบกับกัลยาณมิตร เช่นดั่งกับพระสารีบุตรแล้ว เมื่อเสียชีวิตไปแล้วก็คงไม่พ้นจากอบายภูมิ ต้องไปรับกรรมอันแสนทารุณอย่างแน่นอน
ส่วนของเรื่องกัลยาณมิตร จะไม่ขอกล่าวมาก (ขอให้ท่านผู้อ่านไปอ่านบทความเรื่อง เพื่อนสนิท เพิ่มเติมอีกทีหนึ่ง)
พระธรรม
ประเด็นที่บางคนอาจจะสงสัยต่อนั่นคือ กระทำอกุศลกรรมมามากมาย แต่ในที่สุดได้เป็นพระโสดาบันได้อย่างไร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้ให้คำตอบไว้ในท้ายเรื่อง
พระธรรมย่อมเป็นสิ่งประเสริฐสูงสุดในทุกๆ เรื่องราว ที่จะนำสัตว์พ้นจากทุกข์ ซึ่งเรื่องราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุดแล้ว
ขอนำเรื่องราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับเหล่าภิกษุทั้งหลาย มากล่าวอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เพชฌฆาตเคราแดงตายไปก็บังเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต
ภิกษุทั้งหลายเมื่อฟังดังนั้นแล้ว ถึงกลับประหลาดใจเป็นอันมาก จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าต่อไปว่า “พระองค์ตรัสว่าอะไรนะ ? บุรุษผู้นั้นได้ใช้เวลายาวนานฆ่ามนุษย์ตั้งมากมาย แต่กลับไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตได้อย่างไร พระเจ้าข้า”
พระศาสดาจึงตรัสตอบกลับไปว่า “เนื่องจากบุรุษผู้นั้นได้พบกัลยาณมิตรผู้ใหญ่ เช่น พระสารีบุตร และได้ฟังอนุโมทนากถาจากพระสารีบุตร จึงได้ไปเกิดในวิมานชั้นดุสิต”
แต่ภิกษุเหล่านั้นก็ยังสงสัยว่า “เพียงแค่ฟังอนุโมทนากถาเท่านั้น ทำไมถึงได้มีอานุภาพขนาดนั้น”
พระศาสดาตรัสตอบว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าถือประมาณแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วว่า ‘น้อยหรือมาก’ เพราะว่า แม้วาจาคำเดียวที่อาศัยประโยชน์ ประเสริฐโดยแท้”
|
|
เมื่อได้อ่านข้อความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงให้แก่เหล่าภิกษุฟัง นั่นคือท้ายที่สุดของเพชฌฆาตเคราแดง
สิ่งที่ช่วยเพชฌฆาตเคราแดงนั่นก็คือ พระธรรมอันล้ำค่า
ที่กัลยาณมิตรเช่นพระสารีบุตร ได้นำมาแสดงให้เพชฌฆาตเคราแดงฟัง ต่อให้เพชฌฆาตเคราแดงได้มีโอกาสทำทานที่ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งนั้นไม่ได้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเพื่อให้เข้าถึงธรรมได้
ก็เป็นอันว่าสิ่งนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันสมบูรณ์
เพราะชีวิตของเพชฌฆาตเคราแดงก็ยังไม่มีความแน่นอน ยังต้องไปเวียนว่ายตายเกิด สามารถลงไปทางอบายได้ ถึงแม้อาจจะได้ไปขึ้นสวรรค์ชั่วคราวเพราะได้ทำทานกับพระที่ออกจากนิโรธ แต่นรกกี่ขุม ไม่ว่าจะเป็นขุมเล็ก ขุมใหญ่ ที่รอท่านอยู่หลังจากเสวยบุญหมด ก็ต้องไปรับกรรมในนรกอันแสนทารุณ พอพ้นโทษจากนรก ก็กลับมาพบกับความทุกข์ต่างๆ นาๆ ในการเวียนว่ายตายเกิดได้โดยไม่รู้จักจบจักสิ้น
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าทาน ศีล ภาวนา ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ในการพ้นจากทุกข์ การได้ทำทานของเพชฌฆาตเคราแดงกับพระที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ จึงเป็นแรงหนุนส่งเพื่อให้เขาได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเมื่อได้ฟังธรรม อีกทั้งบุญมหาศาลมาตัดกับวิบากกรรมได้ทันเวลาพอดีก่อนที่เขาจะโดนโคขวิดตาย และได้ไปจุติในชั้นดุสิตในที่สุด ส่วนตอนจบของเรื่องราวทั้งหมด ที่สุดของเรื่องเมื่อพระองค์ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นจบ ชนเป็นอันมากก็บรรลุอริยผล มีพระโสดาบันเป็นต้น ประโยชน์พึงเกิดกับสัตว์จำนวนมาก
ทำไมผู้คนทั้งหลายเมื่อได้ฟังเรื่องราวนี้เพียงเรื่องเดียว ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันจำนวนมาก
ปัจจัยที่หนึ่งคือพระองค์ซึ่งเป็นปัจจัยคงที่ที่ทำอะไรได้สมบูรณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดกับสัตว์ทั้งหลาย
ปัจจัยที่สองตัวของผู้ฟัง หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นบุญของผู้ฟังเอง ซึ่งคิดอย่างนั้นในความเห็นของผู้เขียนก็ถูก แต่ผู้เขียนจะขอให้ความเห็นเพิ่มเข้าไปว่า เนื่องจากสัตว์เหล่านั้นฝึกฝนมาแบบไหน ฝึกมาในเชิงคุณภาพ หรือว่าฝึกมาในเชิงปริมาณ
บางคนทำทานครั้งเดียว ก็ยังดีกว่าบางคนทำทุกวันตลอดชีวิต บางคนรักษาอุโบสถศีลเพียงวันเดียวได้อย่างบริบูรณ์ ดีกว่าบางคนพยายามรักษาตลอดทุกวันพระ แต่ศีลขาดบ้าง ทะลุบ้าง ด่างบ้าง พร้อยบ้าง บางคนนั่งสมาธิแค่ห้านาทีบุญที่ได้มากกว่าบางคนนั่งตลอดชาติ ขอเพียงทุกท่านฝึกการกระทำเชิงคุณภาพเป็นประจำ พยายามหัดให้เป็นนิสัย ในการกระทำความดีแต่ละหน เพราะแต่ละหนนั้นล้วนมีคุณค่ามากในตัวมันเอง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวพุทธปัจจุบันนี้มักมองข้าม มักจะใช้การกระทำกันในเชิงปริมาณ ละเลยในเชิงคุณภาพ เหมือนกับการอ่านบทความต่างๆ ทั้งในส่วนของเว็บและในส่วนของบทความอื่น ถ้าท่านผู้อ่านได้อ่านแค่บทความเดียวแต่ค่อยๆ คิดพิจารณาบทความนั้นให้แตกฉาน ก็ย่อมดีกว่าอ่านบทความทั้งหมดแต่ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย ขอโยงกลับไปตอนภาค ๑ ท้ายเรื่องของส่วนเนื้อหา ในส่วนที่ทางผู้เขียนได้ขอให้ท่านผู้อ่านกลับไปอ่านในส่วนของเนื้อหาใหม่ เพราะเหตุผลในส่วนการฝึกอ่านในเชิงคุณภาพ ผู้เขียนจึงขอให้ท่านผู้อ่านกลับไปอ่านในส่วนของเนื้อหาใหม่ถ้ายังไม่มีคำถามในใจ
ถึงแม้ว่าบางคนที่ได้อ่านบทความนี้มาถึงตอนสุดท้ายนี้แล้วยังฝึกการกระทำแบบเดิมๆ คืออ่านแบบผ่านๆ ลวกๆ ทำให้จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก ก็ขอให้ผู้อ่านได้พิจารณาในส่วนของการกระทำในเชิงคุณภาพ ฝึกฝนตนเอง กลับไปอ่านอย่างละเอียดซ้ำมาซ้ำไป ยังไม่ต้องไปอ่านบทความอื่น จนกว่าจะมีความเข้าใจที่กระจ่างเพื่อนำข้อธรรมนั้นมาให้เกิดประโยชน์กับตนเอง
อย่างน้อยก็ขอให้กลับไปนึกถึงประโยคที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับเหล่าภิกษุทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าถือประมาณแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วว่า ‘น้อยหรือมาก’ เพราะว่า แม้วาจาคำเดียวที่อาศัยประโยชน์ ประเสริฐโดยแท้”
จบบทความ
อ้างอิง ๑ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๔๒ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ ๑๓๐
อ้างอิง ๒ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๗
อ้างอิง ๓ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๘
อ้างอิง ๔ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๐๗
อ้างอิง ๕ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๔๖ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ ๑๔๙
อ้างอิง ๖ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๔๘ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๗๑
อ้างอิง ๗ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๕๐ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้าที่ ๑๕๖
อ้างอิง ๘ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๕๑ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้าที่ ๑๑
อ้างอิง ๙ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๕๑ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้าที่ ๗๔
อ้างอิง ๑๐ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม เล่มที่ ๕๑ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้าที่ ๑๖๘
|