Text Size
Friday, March 29, 2024
Top Tab Content
019petchakard02

โจร(เพชฌฆาต)เคราแดง ภาค๒ 

 (ส่วนความเห็นและการวิเคราะห์ของผู้เขียน) 

            ถ้าท่านมีคำถามเกิดขึ้นในใจบ้างแล้ว  ก็ขอเชิญท่านทั้งหลายอ่านบทความนี้  และมาร่วมด้วยช่วยกันวิเคราะห์เนื้อเรื่องเพื่อให้เกิดปัญญา
 
            เรื่องนี้มีสิ่งที่น่าขบคิดพิจารณาหลายอย่าง  จึงได้นำเรื่องนี้มานำเสนอเพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านได้พิจารณากัน
 
            ในความคิดเห็นของผู้เขียน  เรื่องนี้เมื่ออ่านผ่านๆ  ก็อาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำทานเป็นหลัก  แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสรุป  การทำทานเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในเรื่องก็จริง  แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นที่ละเลยไม่ได้นั่นคือ กัลยาณมิตร  กับพระธรรม  (ในส่วนเพียงแค่อนุโมทนากถา) 

            ดังนั้นทางผู้เขียนจะขอกล่าวถึงคำ ๓ คำซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้นั่นคือ  ทาน, กัลยาณมิตร และพระธรรม 
หมายเหตุ : ที่จะขอกล่าวเพียงคำ ๓ คำซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้เท่านั้น ก็เพราะว่า แต่ละส่วนในเนื้อหามีความสำคัญและความลึกซึ้งมากมาย  ถ้าจะขยายความให้ครอบคลุมได้ทั้งหมดของบทความก็อาจจะใช้เวลานานมาก  จึงขอบีบวงเข้ามาเพื่อให้ทุกท่านได้ใช้เวลาอันมีประโยชน์ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในตอนนี้

ทาน
แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน




๑. ด้านตัวผู้กระทำทาน

ประเด็นที่ ๑   ลักษณะนิสัยของโจรเคราแดง  พิจารณาแล้วโจรเคราแดงนั้นน่าจะเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยดังนี้

            - ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ  เพราะดูได้จากถึงแม้โดนหัวหน้าโจรปฏิเสธ  แต่ก็ไม่ยอมแพ้  พยายามหาทางออกเพื่อจะได้เข้าร่วมแก๊งเดียวกับโจรกลุ่มนี้  โดยหันไปเอาใจลูกน้องโจรคนหนึ่งเพื่อให้ลูกน้องโจรคนนั้น  ฝากฝังตนกับหัวหน้าโจร
            - เป็นคนมีปัญญาหรือไม่  เท่าที่ผู้เขียนเห็นแล้วก็น่าจะมีปัญญาระดับหนึ่งพอสมควร  เพราะสามารถหาทางออกจนหัวหน้าโจรยอมรับเข้ากลุ่ม 
            - เป็นคนเด็ดเดี่ยวกล้าทำอะไรที่คนอื่นไม่กล้าทำได้  ส่วนนี้ดูได้จากการที่สามารถกล้าบั่นคอพรรคพวกทั้ง  ๔๙๙  คนด้วยขวาน  ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคพวกของตนเองไม่ยอมกระทำ  และคนชาวเมืองมากมายก็ไม่กล้ากระทำ  พวกโจรเหล่านั้นต้องโทษพิพากษาประหารชีวิต  อย่างไรก็ตามโจรกลุ่มนั้นก็ต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว  เพียงแต่ว่าใครจะเป็นผู้ลงมือทำเท่านั้น   ซึ่งเป็นสิ่งที่โจรเคราแดงยอมกระทำ

ประเด็นที่ ๒   ลักษณะการทำทานของบุรุษเคราแดง  น่าจะเป็นลักษณะการทำบุญแบบยอมเป็นยอมตาย

            บุรุษบุคคลหนึ่ง  ที่ทำหน้าที่ตัดศีรษะคนอื่นมาทั้งชีวิต  อีกทั้งยังไม่เคยได้รับเสื้อผ้า  ตกแต่งร่างกายด้วยของหอม  และอาหารที่ดี  หลังจากเกษียณอายุงานก็หวังว่าจะได้รับประทานอาหารเลิศรส  จึงค่อยๆ ไปชำระล้างร่างกายให้สะอาด  นุ่งผ้าใหม่  ประดับด้วยดอกไม้  ทาด้วยของหอม  แล้วก็ไปที่เรือน  ซึ่งที่นั่นได้มีการเตรียมอาหารที่ตนใฝ่ฝันมานานแล้ว  อีกทั้งอาหารที่เลิศรสน่าทานเป็นอย่างมากนั้นได้ตั้งไว้ตรงหน้าตัวเองแท้ๆ  ความอยากกินอาหารของบุรุษเคราแดงนั้น  ทุกคนคงคิดออกว่าจะมากมายขนาดไหน  การหักไม่ยอมแพ้ความอยากของตนเอง  แล้วพลิกไปนิมนต์พระสารีบุตรมาฉันอาหาร  การกระทำแบบนี้เหมือนกับยอมเป็นยอมตาย

ประเด็นที่ ๓   เหตุใดบุรุษเคราแดงถึงทำเช่นนั้นได้  อาหารอันโอชะวางอยู่ตรงหน้าแต่สามารถตัดใจ  ไปนิมนต์พระสารีบุตรมารับอาหาร  ซึ่งใช้โอกาสที่ได้มาให้เกิดประโยชน์กับตนเองสูงสุดได้

            ทำไมบุรุษเคราแดงจึงสามารถเอาชนะความอยากของตนเองได้  แสดงว่าบุรุษเคราแดงต้องเป็นผู้ฝึกมาก่อน  ถึงสามารถทำเช่นนั้นได้ใช่หรือไม่
            ถ้าทุกท่านปรารถนาเอาชนะกิเลสแบบบุรุษเคราแดงได้  ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างดังนี้
            - เมื่อทุกท่านซื้ออาหาร  เช่น  ลูกชิ้นปิ้ง  ซึ่งในขณะนั้นมีความหิวเป็นอย่างมาก พอดีเห็นสุนัขอดโซกำลังมายืนอยู่ที่หน้าท่าน  ทุกท่านสามารถหักใจไม่รับประทาน  แล้วให้อาหารแก่สุนัขนั่นได้หรือไม่
            - เมื่อขณะท่านดูรายการซีรีย์หนังเกาหลีซึ่งเป็นเรื่องที่อยากดูมาก  ติดตามดูมาโดยตลอด  ซึ่งเป็นตอนอวสาน  น้องชายมาเรียกให้ท่านไปสอนหนังสือให้  ท่านสามารถหักใจ  ไม่ยอมดูหนังได้หรือไม่
            - เมื่อท่านกำลังจะดูบอลโลกรอบชิงชนะเลิศที่ ๔ ปีจะมีสักครั้งหนึ่ง  มีคนกำลังเดือดร้อนได้โทรมาหาท่านเพื่อปรึกษาเรื่องสำคัญของเขาพอดี  ท่านจะสามารถเลิกดูบอล หันมาให้ความสำคัญโดยตั้งใจฟังเรื่องราวนั้นอย่างละเอียด และหาทางช่วยเหลือแก้ไขเรื่องราวที่เขากำลังประสบอยู่ได้หรือไม่
           - เมื่อท่านหลับสนิท  อากาศเย็นสบาย  กำลังเพลินๆ  ตอนตีสี่  มีคนเรียกท่านไปช่วยเหลือธุระบางอย่าง  ท่านสามารถหักใจลุกขึ้นมา  แล้วทำจิตเป็นกุศลในทันทีได้หรือไม่
          - ขณะที่ท่านกำลังเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์  อย่างเมามันอยู่  กำลังเล่นถึงตอนที่กำลังถึงจุดวิกฤติอยู่  พ่อแม่ใช้ให้ไปธุระ  ท่านสามารถหักใจออกจากเกมส์  แล้วทำจิตเป็นกุศลในทันทีได้หรือไม่
          - ในตอนที่ท่านเปิดประตูกำลังจะเดินออกจากบ้านไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน  ซึ่งในกลุ่มนั้นมีคนที่ท่านชอบหมายตาอยากจะทำความรู้จักอยู่  พอดีคนที่บ้านใช้ท่านให้ไปซื้อและเปลี่ยนหลอดไฟในห้องน้ำ  ท่านจะไปจัดการธุระก่อน  หรือท่านจะออกไปเที่ยวก่อนแล้วค่อยกลับมาจัดการเปลี่ยนหลอดไฟในห้องน้ำที่มืดมิดอยู่

            ด้านบนเป็นเหตุการณ์ตัวอย่างที่ยกมาเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจ  ขอให้ท่านไประลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ของตนที่ไปประสบมาเอง  เช่น  กำลังหลงใหล  เคลิบเคลิ้ม  เมามัน หมกหมุ่น  จมดิ่งกับสถานการณ์อะไรก็ตาม  แล้วมีเหตุการณ์เรื่องดีๆ แทรกเข้ามา  แต่ละท่านสามารถหักหรือตัดใจกับสิ่งที่กำลังจมอยู่แล้วกลับไปทำสิ่งที่ดีที่แทรกเข้ามาได้หรือไม่   เรื่องนี้เป็นส่วนที่ทุกท่านต้องฝึกสะสมไปเรื่อยๆ  เมื่อโอกาสได้มาถึง  ทุกท่านก็จะสามารถทำแต่ละสิ่งได้อย่างสมบูรณ์  แต่ถ้าท่านไม่ได้ฝึกมา  ก็เป็นการยากที่จะทำได้  ถึงแม้โอกาสที่จะสร้างประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นมาถึง  ท่านก็จะไม่สามารถทำโอกาสนั้นให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นได้ 

            อย่าว่าแต่การให้แบบยอมเป็นยอมตายเลย  การให้แบบปกติทุกท่านทำได้อย่างดีแล้วหรือไม่  ซึ่งสามารถมองในปัจจุบันนี้ทุกท่านสามารถกระทำสิ่งต่างๆ ได้สมบูรณ์หรือไม่  โอกาสที่ได้ช่วยเหลืองานของพ่อแม่  โอกาสในการช่วยสงเคราะห์ญาติ  โอกาสในการช่วยคนเดือดร้อนทั้งหลาย  ถ้าทุกท่านยังไม่ได้ฝึกฝนตนก็สามารถเดาได้เลยว่าแต่ละท่านได้แต่ปล่อยโอกาสต่างๆ  หลุดลอยไปเมื่อโอกาสอันดีมาถึง

            เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์จริง  ท่านคิดหรือว่าท่านสามารถจะทำได้  อย่าไปมองไกลถึงโอกาสจะพบกับพระอรหันต์ที่ออกจากนิโรธเลย  สมมติคนชวนท่านไปฝึกปฏิบัติธรรม  กับชวนท่านไปเที่ยวยุโรปแล้วออกเงินให้  ท่านจะเลือกไปสิ่งไหน  ขอให้ท่านตอบตามความจริงอย่าได้โกหกตัวเอง
 
             ถ้าทุกท่านไม่ได้ฝึกมาแล้วจึงไม่มีทางที่จะทำได้ดังบุรุษเคราแดง  ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องฝึกสะสมให้กล้าแข็ง  เมื่อท่านเห็นความจริง  ยอมรับความจริง และเร่งฝึกปฏิบัติ  เพราะเมื่อไปประสบกับโอกาสต่างๆ แล้วถึงจะสามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องได้  ถ้าแต่ละคนไม่มีการฝึกฝนสะสมมา  ก็อย่าฝันว่าจะไปทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ 

            เมื่อไรก็ตามทุกท่านสามารถทำในสิ่งเล็กน้อยได้  และฝึกไปเรื่อยๆ จนกล้าแข็ง  ทุกคนก็จะสามารถทำในสิ่งที่ยากได้  เมื่อทุกคนมีความพร้อม  เมื่อไปอยู่ที่ไหนก็สามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องได้  ต่อให้อยู่สถานการณ์ไหนก็ตาม  ไปเกิดในสวรรค์  เทวดาแต่ละองค์เหาะไปเที่ยวเล่น  ฟ้อนรำ  ท่านก็สามารถไปปฏิบัติธรรม  ไม่หลงระเริง อีกทั้งยังชักนำเทวดาองค์อื่นไม่ให้ประพฤติตัวอย่างประมาท  ต่อให้พลาดพลั้งไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ถ้าท่านฝึกมามากพอก็สามารถเอาตัวเองรอดได้  เหมือนดั่งเรื่องราวที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกมากมาย  ที่แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังสามารถทำประโยชน์ได้


๒. วัตถุทาน

    วัตถุทานในที่นี้นั่นก็คืออาหาร  พิจารณาจากตัววัตถุทาน  ถือว่าตัววัตถุทานนั้นบริสุทธิ์  แถมยังเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์กว่าวัตถุทานอันอื่นอีกด้วย  วัตถุทานนี้ได้มาอย่างไร  ได้มาจากการตอบแทนของชาวเมืองที่บุรุษเคราแดงทำงานรับใช้บ้านเมืองมาอย่างยาวนาน  เมื่อเกษียณอายุงาน  ชาวเมืองจึงทำการจัดแจงอาหารอย่างดีเพื่อมอบให้แก่บุรุษเคราแดง  วัตถุทานนั้นจึงเป็นของที่บริสุทธิ์มาก  ไม่ได้มาจากการเบียดเบียนใคร  ไม่ได้มาจากการเอาเงินของตนไปซื้อมา  แต่ได้มาจากการให้ของคนอื่นเพราะผลจากการตอบแทนความดี  ถึงแม้เราใช้เงินที่ได้มาจากการประกอบอาชีพสุจริตซื้อวัตถุทาน  วัตถุทานอาจจะไม่บริสุทธิ์เท่านี้  เนื่องจากอาชีพส่วนมากได้มาจากการเบียดเบียนผู้อื่น  ไม่มากก็น้อย  ซึ่งต่างจากวัตถุทานที่ได้มาจากการทิ้งหรือการให้จากผู้อื่น

            เงินที่หามาได้จากการประกอบอาชีพ  ถึงแม้ทางโลกถือว่าอาชีพนั้นเป็นอาชีพที่สุจริต  ไม่ผิดกฎหมาย  เงินที่ได้มาสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเท่ากันหมด   แต่ในแง่ของธรรมนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย  ความแตกต่างนั้นเกิดจากการได้มาของเงินนั้นเกิดจากการเบียดเบียนผู้อื่นมากหรือน้อย  และจิตขณะประกอบอาชีพนั้นมีความเป็นกุศลหรืออกุศล  หลังจากที่ได้เงินดังกล่าวมา  เงินนั้นได้แปรสภาพเป็นวัตถุทานต่างๆ  วัตถุทานดังกล่าวจึงมีความบริสุทธิ์น้อยมากแตกต่างกันตามแหล่งที่มา  ดังนั้นในแง่ความบริสุทธิ์  วัตถุทานของบุรุษเคราแดงที่ได้มาจากการตอบแทนความดีจึงมีความบริสุทธิ์มาก

๓. ส่วนผู้รับทาน

            ผู้รับทานนั้นเป็นทักขิไณยบุคคล(ผู้ควรรับทักษิณาทาน) ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   แถมได้ส่วนเสริมที่พิเศษอีกนั่นคือเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ  ดังนั้นผู้ที่รับทานของบุรุษเคราแดงเป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่  เมื่อหว่านเมล็ดพืชลงไปนาบุญที่เลิศย่อมทำให้ออกดอกออกผลบุญอย่างมากมายแก่ผู้ที่ทำการถวายแด่ท่าน

            ส่วนของบุญที่จะได้กับผู้ที่มีโอกาสตักบาตรพระที่เพิ่งออกจากนิโรธ  ถือว่าเป็นบุญที่มีขนาดใหญ่รุนแรง  ให้ผลยาวนานมาก  ดูได้จากผลของผู้ที่ตักบาตรพระที่ออกจากนิโรธ  คนๆ นั้นจะรวยขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็วมาก  อย่างช้าไม่เกิน ๗ วัน  ตัวอย่างเช่น  นายปุณณะ  ภรรยาถวายอาหารแด่พระสารีบุตรตอนเช้า  ตอนสายไปไถนา  สถานที่ที่เขาไถได้กลายเป็นทองคำ 

            เมื่อพิจารณาแล้ว  ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ในส่วนของผู้รับทาน  แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรถึงได้มีโอกาสได้ทำบุญกับพระผู้เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติได้  ซึ่งถือว่าเป็นบุญลาภอันยิ่งใหญ่ 

    เมื่อพระอรหันต์ออกจากนิโรธสมาบัติ  จะทำการพิจารณาว่าจะสงเคราะห์ใคร  ดังตัวอย่างต่อไปนี้

    (อ้างอิง ๑)  พระปัจเจกพุทธเจ้า  ออกจากสมาบัติ  ได้ทำการพิจารณาว่าควรจะสงเคราะห์ผู้ใด  เรื่องสุขสามเณร

    (อ้างอิง ๒) พระสารีบุตรออกจากนิโรธ  เมื่อพิจารณาแล้วจึงได้ไปสงเคราะห์นายปุณณะ

    (อ้างอิง ๓) พระมหากัสสปเถระ  ออกจากนิโรธสมาบัติแล้วพิจารณาว่าจะทำการสงเคราะห์ใคร  เมื่อพิจารณาเสร็จจึงไปสงเคราะห์แก่บ้านของนายกาฬวฬิยะ

    (อ้างอิง ๔) พระปัจเจกพุทธเจ้า  นามว่าอุปริฏฐะเข้านิโรธสมาบัติที่ภูเขาคันธมาทน์  ออกจากสมาบัตินั้นแล้วพิจารณาว่าวันนี้ควรจะทำการอนุเคราะห์ใคร  ก็ธรรมดาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย  ย่อมเป็นผู้อนุเคราะห์คนเข็ญใจ  ท่านคิดว่าวันนี้เราควรทำการอนุเคราะห์  นายอันนภาระ

    (อ้างอิง ๕) พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าที่เงื้อมนันทมูลกะออกจากนิโรธในวันที่ ๗ ล้างหน้าที่สระอโนดาต  เคี้ยวไม้สีฟันนาคลดา  เมื่อพิจารณาแล้วว่าจะสงเคราะห์ใคร  แล้วจึงไปสงเคราะห์แก่ธิดาเศรษฐี

    (อ้างอิง ๖) พระมหากัสสปะ    เข้านิโรธสมาบัติ  ๗ วัน   ออกจากนิโรธนั้นแล้วคิดว่า   วันนี้เราจักอนุเคราะห์ใคร  ด้วยการรับอาหารหนอ  จักเปลื้องใคร  จากทุคติและจากทุกข์   เห็นหญิงนั้นใกล้ตาย  และกรรมของนางที่จะนำไปนรก   และโอกาสแห่งบุญที่นางได้ทำแล้ว    คิดว่าเมื่อเราไป  หญิงคนนี้จักถวายข้าวตังที่ตนได้แล้ว  เพราะบุญนั้นนั่นแหละ  นางจักเกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี

    (อ้างอิง ๗) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า  ปิยทัสสี  เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก  วันหนึ่ง  ด้วยมีพุทธประสงค์จะทรงอนุเคราะห์ดาบส   จึงเสด็จเข้าไปสู่หมู่ไม้สาละนั้น  ประทับนั่งแล้ว   เข้านิโรธสมาบัติ  ดาบสเดินไปหามูลผลาผลในป่า  เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว  มีใจเลื่อมใส  ถือเอากิ่งรังซึ่งมีดอกบานสะพรั่งทำเป็นปะรำกิ่งไม้     คลุมปะรำนั้นทั้งหมด   ด้วยดอกรังล้วน ๆ  ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว  ไม่ออกไปหาอาหาร  ยืนนมัสการอยู่แล้ว  ด้วยอำนาจแห่งปีติและโสมนัสนั้นเอง  (เรื่องราวในอดีตของนิโครธเถระ)

    (อ้างอิง ๘) พระเถระองค์หนึ่งในอดีตชาติได้กำเนิดเป็นราชสีห์  ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า  ปทุมุตตระ  อยู่ในถ้ำแห่งภูเขา  พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปสู่ถ้ำ ในเวลาที่ราชสีห์หลีกออกไปหากิน เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา  ประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติแล้ว  ราชสีห์คาบเอาเหยื่อกลับมาเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ประตูถ้ำ  เป็นผู้ร่าเริงยินดี   กระทำการบูชาด้วยดอกไม้ที่เกิดในน้ำและดอกไม้ที่เกิดบนบก  ทำใจให้เลื่อมใส  บันลือสีหนาทในเวลาทั้ง ๓ เพื่อให้สัตว์ร้ายในป่าหนีไป  เพื่อถวายอารักขาพระผู้มีพระภาคเจ้า  ได้ยืนเฝ้าอยู่โดยมีพุทธานุสติเป็นอารมณ์  ได้บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๗ วัน  อย่างสม่ำเสมอเหมือนอย่างที่บูชาในวันแรก

    (อ้างอิง ๙) ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงพระนามว่า  ปิยทัสสี   พระติสสเถระในอดีตชาติได้บรรลุนิติภาวะแล้วถึงความสำเร็จในศิลปะทั้งหลาย  เห็นโทษในกามทั้งหลาย  สละฆราวาสวิสัยบวชเป็นดาบส  เขาสร้างอาศรมอยู่ในป่าดงรัง  ใกล้ชัฏแห่งป่า  พระผู้มีพระภาคเจ้า  ทรงเข้านิโรธสมาบัติ  ประทับนั่งที่ดงรังไม่ไกลอาศรม  เพื่อจะทรงอนุเคราะห์ดาบสนั้น  ดาบสออกจากอาศรม  เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว  มีใจเลื่อมใส  ปักเสา ๔ เสา  ทำปะรำด้วยกิ่งรัง   อันมีดอกบานสะพรั่ง  ไว้เบื้องบนพระผู้มีพระภาคเจ้า  ยืนบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกรัง  ทั้งใหม่ทั้งสดตลอด ๗ วัน  ไม่ละปีติ  มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์

    (อ้างอิง ๑๐) ในอดีตชาติของพระสัมพุลกัจจายนเถระ   ในที่สุดแห่งกัปที่ ๙๔  แต่ภัทรกัปนี้    บรรลุนิติภาวะแล้ว   วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า  สตรังสี  ออกจากนิโรธแล้วเที่ยวไปบิณฑบาต  มีใจเลื่อมใสแล้วได้ถวายผลตาล

            ส่วนของด้านบนนั้นคือข้อความเกี่ยวกับ  ผู้ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ  เมื่อได้ศึกษาจากเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว  ก็พอจะสรุปเรื่องราวได้ดังนี้

๑. ผู้ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ  จะพิจารณาก่อนว่าจะไปอนุเคราะห์ผู้ใด
            การที่ท่านจะทำการสงเคราะห์ใครนั้น ต้องผ่านการพิจารณามาก่อน  ไม่ใช่ท่านจะเดินไปมั่วๆ เมื่อเจอใครก็จะโปรดคนนั้น  แต่เป็นเรื่องที่ผ่านการพิจารณาด้วยญาณของท่านมาก่อนหน้าแล้ว ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ดีก็จะรู้ว่าสิ่งที่ได้มานั้นไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วยหรือความบังเอิญ  เพราะเมื่อคนใดคนหนึ่งไปปรากฏในญาณของผู้ที่ออกจากนิโรธ แสดงว่าคนๆนั้นจะได้สร้างบุญกับท่านค่อนข้างแน่นอนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนกับบุญอันนี้ได้ถูกล๊อคไว้แล้วว่าจะได้กับคนๆนี้ค่อนข้างแน่นอน ขอเพียงภาพท่านไปปรากฏที่ญาณของพระที่เพิ่งออกจากนิโรธเท่านั้น   ในทางกลับกัน ส่วนท่านใดไม่มีความพร้อมที่จะถวายทาน ยังไงท่านก็ไม่ได้ไปปรากฏในญาณของผู้ที่ออกจากนิโรธ    ดังนั้นเราจึงควรเตรียมความพร้อม ฝึกฝนการให้ทานแบบเพชฌฆาตเคราแดงในลักษณะที่ทำบุญแบบตัดใจ ฝึกไปเรื่อยๆจนมีความชำนาญทำได้ตลอดเวลา  ถ้าท่านไม่ได้สร้างส่วนนี้มาโอกาสที่ท่านจะไปปรากฏในญาณของพระที่ออกจากนิโรธก็จะไม่มี

ส่วนหลักการพิจารณาของผู้ที่ออกจากนิโรธสมาบัติว่าจะไปโปรดใครนั้นจะมีด้วยกัน ๒ ประเด็น
            ประเด็นที่ ๑  ผู้ที่ท่านจะไปโปรดต้องเป็นผู้ที่มีศรัทธา
            ประเด็นที่ ๒  ผู้ที่ท่านจะไปโปรดต้องเป็นผู้ที่สามารถถวายอาหาร  หรือทำอะไรบางอย่างให้แก่ท่านได้  เช่น  มีอาหารที่จะถวายให้ท่านได้พอดีในตอนนั้น  

๒. ผู้ที่ท่านจะไปโปรดจะต้องมีกรรมต้องกับท่าน
            การที่ผู้ที่เพิ่งออกจากนิโรธแล้วจะมาโปรดใครนั้น  คนนั้นก็น่าจะต้องมีกรรมต้องกันนั่นคือเคยอนุเคราะห์ช่วยเหลือกันมาก่อน

            ขอให้ผู้อ่านกลับมามองที่ตัวเอง  แต่ละคนเป็นคนที่เคยอนุเคราะห์ใครหรือไม่  เมื่อท่านเคยอนุเคราะห์กับผู้คนต่างๆ ในอดีต  ในปัจจุบันชาติคนที่ท่านเคยอนุเคราะห์ในอดีตก็จะกลับมาอนุเคราะห์ท่าน   ใครจะไปรู้ว่าผู้ที่ท่านอนุเคราะห์นั้นอาจจะเป็นผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์ในอนาคตข้างหน้า  และอนาคตท่านอาจจะได้พบกับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ออกจากนิโรธมาอนุเคราะห์ท่านบ้างเนื่องเพราะกรรมต้องกัน  ท่านอย่าได้มองว่า  คน สัตว์  ที่ได้ช่วยเหลือว่าจะต่ำต้อย  ควรจะให้เกียรติสัตว์นั้นตามฐานะ  เพราะว่าไม่แน่สัตว์นั้นอาจจะเป็นผู้บำเพ็ญบารมีใกล้จะเต็ม  โอกาสข้างหน้าเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทา เป็นเนื้อนาบุญอันดี  เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน  และก็ได้มาช่วยเหลือท่านในอนาคตก็เป็นไปได้

๓. น่าจะมีกรรมสนับสนุนอันยิ่งใหญ่
            นอกจากมีกรรมต้องกับท่านแล้ว  ก็น่าจะมีกรรมสนับสนุนอย่างอื่นมาช่วยด้วย  เพราะแค่มีกรรมต้องกันนั้น  ก็น่าจะได้แค่มีโอกาสตักบาตรท่านในยามปกติก็เพียงพอแล้ว  สำหรับการช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาในครั้งก่อน
 
   
            ดังนั้น  การที่ผู้ที่จะได้มีโอกาสสร้างทานขนาดได้ตักบาตรกับผู้ที่เพิ่งออกจากนิโรธได้ซึ่งถือว่าเป็นบุญลาภอันยิ่งใหญ่  การที่ท่านเหล่านั้นจะปรากฏในข่ายญาณของผู้ที่ออกจากนิโรธได้นั้น  ต้องแสดงว่ามีกรรมสนับสนุนมาช่วยเหลือคนเหล่านั้นเพื่อเปิดโอกาสให้ได้พบกับพระที่ออกจากนิโรธ  และต้องเป็นกรรมสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ 

            แต่กรรมสนับสนุนประเภทไหนที่สามารถทำให้เราได้มีโอกาสตักบาตรพระผู้ออกจากนิโรธสมาบัติได้

            ขอถามแต่ละคนก่อนว่า  แต่ละคนเคยคิดว่า  จะทำตัวเองให้บริสุทธิ์เพื่อให้คนที่ทำการเลี้ยงดูเราได้บุญหรือไม่  เช่น  ก่อนจะทานอาหารที่พ่อแม่นำมาให้ทานท่านเคยคิดว่าจะเป็นคนดีมีศีลธรรม  เพื่อให้พ่อแม่ได้บุญมากขึ้นหรือไม่  อีกทั้งประเด็นอยู่ที่ว่าต้องทำพิเศษขึ้นมาจากปกติ  เพราะถ้าเพียงคิดว่าเป็นคนดีมีศีลธรรมเพื่อให้คนที่ทำอาหารให้เราบริโภคได้บุญ  ทำไปเรื่อยๆ  ผลบุญนี้ก็น่าจะทำให้ได้พบเนื้อนาบุญที่ดีไปเรื่อยๆ  แต่ถ้าเมื่อเป็นคนดีมีศีลธรรมอยู่เป็นปกติแล้ว  ก่อนจะลงมือทานอาหารแต่ละมื้อนั้น  ไปนั่งสมาธิเข้าฌานเป็นพิเศษก่อนทานอาหารนอกเหนือจากการเป็นผู้มีศีลธรรมตามปกติแล้ว  ผู้เขียนคิดว่ากรรมสนับสนุนประเภทนี้นั้น  สะสมไปเรื่อยๆ  ถึงจะได้มีโอกาสได้รับบุญลาภอันยิ่งใหญ่นั่นคือได้ไปปรากฏในข่ายญาณของพระผู้ที่เพิ่งออกจากนิโรธ  

            ดังนั้น  คนที่ได้มีโอกาสตักบาตรพระผู้ที่เพิ่งออกจากนิโรธจึงมีน้อยมาก  ต้องเป็นคนที่พิเศษดังที่ได้กล่าวมา  ถึงได้มีกรรมสนับสนุนมาตอบแทนกับคนๆ นั้น  แต่อย่างไรก็ตาม  เราก็ควรจะพึงสร้างโอกาสไปเรื่อยๆ  หัดตอบแทนผู้มีพระคุณที่เลี้ยงอาหารกับเรา  อย่างน้อยสำรวมกาย  วาจาใจ  ก่อนที่จะลงมือทานอาหารนั้น  ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี

กัลยาณมิตร


             ส่วนด้านฝั่งของกัลยาณมิตรนั้น  คำว่ากัลยาณมิตรนั้น  เป็นคำที่มีคุณค่ามากมายมหาศาลอยู่แล้ว  แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังถือว่าพระองค์เป็นกัลยาณมิตรกับผู้คนทั้งหลาย

            ถ้าบุรุษเคราแดงไม่ได้พบกับกัลยาณมิตร  เช่นดั่งกับพระสารีบุตรแล้ว  เมื่อเสียชีวิตไปแล้วก็คงไม่พ้นจากอบายภูมิ  ต้องไปรับกรรมอันแสนทารุณอย่างแน่นอน 

            ส่วนของเรื่องกัลยาณมิตร  จะไม่ขอกล่าวมาก  (ขอให้ท่านผู้อ่านไปอ่านบทความเรื่อง เพื่อนสนิท เพิ่มเติมอีกทีหนึ่ง)
   
พระธรรม
 

            ประเด็นที่บางคนอาจจะสงสัยต่อนั่นคือ  กระทำอกุศลกรรมมามากมาย  แต่ในที่สุดได้เป็นพระโสดาบันได้อย่างไร

            องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้ให้คำตอบไว้ในท้ายเรื่อง

            พระธรรมย่อมเป็นสิ่งประเสริฐสูงสุดในทุกๆ เรื่องราว  ที่จะนำสัตว์พ้นจากทุกข์  ซึ่งเรื่องราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุดแล้ว 

            ขอนำเรื่องราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับเหล่าภิกษุทั้งหลาย  มากล่าวอีกครั้งหนึ่ง

            หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  เพชฌฆาตเคราแดงตายไปก็บังเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต

            ภิกษุทั้งหลายเมื่อฟังดังนั้นแล้ว  ถึงกลับประหลาดใจเป็นอันมาก  จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าต่อไปว่า  “พระองค์ตรัสว่าอะไรนะ ?   บุรุษผู้นั้นได้ใช้เวลายาวนานฆ่ามนุษย์ตั้งมากมาย  แต่กลับไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตได้อย่างไร  พระเจ้าข้า”

             พระศาสดาจึงตรัสตอบกลับไปว่า  “เนื่องจากบุรุษผู้นั้นได้พบกัลยาณมิตรผู้ใหญ่ เช่น  พระสารีบุตร  และได้ฟังอนุโมทนากถาจากพระสารีบุตร  จึงได้ไปเกิดในวิมานชั้นดุสิต”

            แต่ภิกษุเหล่านั้นก็ยังสงสัยว่า  “เพียงแค่ฟังอนุโมทนากถาเท่านั้น  ทำไมถึงได้มีอานุภาพขนาดนั้น”

            พระศาสดาตรัสตอบว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงอย่าถือประมาณแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วว่า  ‘น้อยหรือมาก’  เพราะว่า  แม้วาจาคำเดียวที่อาศัยประโยชน์  ประเสริฐโดยแท้”


            เมื่อได้อ่านข้อความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงให้แก่เหล่าภิกษุฟัง  นั่นคือท้ายที่สุดของเพชฌฆาตเคราแดง 

สิ่งที่ช่วยเพชฌฆาตเคราแดงนั่นก็คือ  พระธรรมอันล้ำค่า
ที่กัลยาณมิตรเช่นพระสารีบุตร
ได้นำมาแสดงให้เพชฌฆาตเคราแดงฟัง
ต่อให้เพชฌฆาตเคราแดงได้มีโอกาสทำทานที่ยิ่งใหญ่เพียงใด
แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งนั้นไม่ได้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเพื่อให้เข้าถึงธรรมได้

ก็เป็นอันว่าสิ่งนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันสมบูรณ์
 


            เพราะชีวิตของเพชฌฆาตเคราแดงก็ยังไม่มีความแน่นอน  ยังต้องไปเวียนว่ายตายเกิด สามารถลงไปทางอบายได้  ถึงแม้อาจจะได้ไปขึ้นสวรรค์ชั่วคราวเพราะได้ทำทานกับพระที่ออกจากนิโรธ  แต่นรกกี่ขุม  ไม่ว่าจะเป็นขุมเล็ก  ขุมใหญ่  ที่รอท่านอยู่หลังจากเสวยบุญหมด  ก็ต้องไปรับกรรมในนรกอันแสนทารุณ  พอพ้นโทษจากนรก  ก็กลับมาพบกับความทุกข์ต่างๆ นาๆ ในการเวียนว่ายตายเกิดได้โดยไม่รู้จักจบจักสิ้น 

            สิ่งทั้งหลายทั้งปวง  ไม่ว่าทาน  ศีล  ภาวนา  ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อเป็นเหตุ  เป็นปัจจัย  ในการพ้นจากทุกข์  การได้ทำทานของเพชฌฆาตเคราแดงกับพระที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ  จึงเป็นแรงหนุนส่งเพื่อให้เขาได้บรรลุเป็นพระโสดาบันเมื่อได้ฟังธรรม  อีกทั้งบุญมหาศาลมาตัดกับวิบากกรรมได้ทันเวลาพอดีก่อนที่เขาจะโดนโคขวิดตาย  และได้ไปจุติในชั้นดุสิตในที่สุด  
   
            ส่วนตอนจบของเรื่องราวทั้งหมด  ที่สุดของเรื่องเมื่อพระองค์ตรัสกับภิกษุเหล่านั้นจบ  ชนเป็นอันมากก็บรรลุอริยผล  มีพระโสดาบันเป็นต้น  ประโยชน์พึงเกิดกับสัตว์จำนวนมาก 

            ทำไมผู้คนทั้งหลายเมื่อได้ฟังเรื่องราวนี้เพียงเรื่องเดียว  ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันจำนวนมาก

            ปัจจัยที่หนึ่งคือพระองค์ซึ่งเป็นปัจจัยคงที่ที่ทำอะไรได้สมบูรณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดกับสัตว์ทั้งหลาย 

            ปัจจัยที่สองตัวของผู้ฟัง  หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นบุญของผู้ฟังเอง  ซึ่งคิดอย่างนั้นในความเห็นของผู้เขียนก็ถูก  แต่ผู้เขียนจะขอให้ความเห็นเพิ่มเข้าไปว่า  เนื่องจากสัตว์เหล่านั้นฝึกฝนมาแบบไหน  ฝึกมาในเชิงคุณภาพ  หรือว่าฝึกมาในเชิงปริมาณ

            บางคนทำทานครั้งเดียว  ก็ยังดีกว่าบางคนทำทุกวันตลอดชีวิต  บางคนรักษาอุโบสถศีลเพียงวันเดียวได้อย่างบริบูรณ์  ดีกว่าบางคนพยายามรักษาตลอดทุกวันพระ แต่ศีลขาดบ้าง  ทะลุบ้าง  ด่างบ้าง  พร้อยบ้าง  บางคนนั่งสมาธิแค่ห้านาทีบุญที่ได้มากกว่าบางคนนั่งตลอดชาติ  ขอเพียงทุกท่านฝึกการกระทำเชิงคุณภาพเป็นประจำ พยายามหัดให้เป็นนิสัย  ในการกระทำความดีแต่ละหน  เพราะแต่ละหนนั้นล้วนมีคุณค่ามากในตัวมันเอง

            เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาวพุทธปัจจุบันนี้มักมองข้าม  มักจะใช้การกระทำกันในเชิงปริมาณ  ละเลยในเชิงคุณภาพ  เหมือนกับการอ่านบทความต่างๆ ทั้งในส่วนของเว็บและในส่วนของบทความอื่น  ถ้าท่านผู้อ่านได้อ่านแค่บทความเดียวแต่ค่อยๆ คิดพิจารณาบทความนั้นให้แตกฉาน  ก็ย่อมดีกว่าอ่านบทความทั้งหมดแต่ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย  ขอโยงกลับไปตอนภาค ๑ ท้ายเรื่องของส่วนเนื้อหา  ในส่วนที่ทางผู้เขียนได้ขอให้ท่านผู้อ่านกลับไปอ่านในส่วนของเนื้อหาใหม่  เพราะเหตุผลในส่วนการฝึกอ่านในเชิงคุณภาพ  ผู้เขียนจึงขอให้ท่านผู้อ่านกลับไปอ่านในส่วนของเนื้อหาใหม่ถ้ายังไม่มีคำถามในใจ  

            ถึงแม้ว่าบางคนที่ได้อ่านบทความนี้มาถึงตอนสุดท้ายนี้แล้วยังฝึกการกระทำแบบเดิมๆ  คืออ่านแบบผ่านๆ ลวกๆ ทำให้จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก  ก็ขอให้ผู้อ่านได้พิจารณาในส่วนของการกระทำในเชิงคุณภาพ  ฝึกฝนตนเอง  กลับไปอ่านอย่างละเอียดซ้ำมาซ้ำไป  ยังไม่ต้องไปอ่านบทความอื่น  จนกว่าจะมีความเข้าใจที่กระจ่างเพื่อนำข้อธรรมนั้นมาให้เกิดประโยชน์กับตนเอง

            อย่างน้อยก็ขอให้กลับไปนึกถึงประโยคที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับเหล่าภิกษุทั้งหลายว่า 

  “ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงอย่าถือประมาณแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วว่า 
 ‘น้อยหรือมาก’  เพราะว่า  แม้วาจาคำเดียวที่อาศัยประโยชน์  ประเสริฐโดยแท้” 


จบบทความ
 



อ้างอิง ๑ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๔๒ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ ๑๓๐

อ้างอิง ๒ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๗

อ้างอิง ๓ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๘

อ้างอิง ๔ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๐๗

อ้างอิง ๕ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๔๖ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ ๑๔๙

อ้างอิง ๖ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๔๘ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๗๑

อ้างอิง ๗ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๕๐ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้าที่ ๑๕๖

อ้างอิง ๘ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๕๑ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้าที่ ๑๑

อ้างอิง ๙ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๕๑ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้าที่ ๗๔

อ้างอิง ๑๐ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๕๑ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้าที่ ๑๖๘



มีผู้อ่านจำนวน : 3372 ครั้ง


บทความที่เกี่ยวข้อง

           โจร(เพชฌฆาต)เคราแดง ภาค ๑
           โจร(เพชฌฆาต)เคราแดง ภาค ๒
backbutton
gototop
back2home_style3 go2contentstore_style03
Bottom Tab Content

Who's Online

We have 4 guests and no members online